KOOL ประกอบธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรมและพัดลมระบายอากาศ ภายใต้ตราสินค้า MASTERKOOL และ Cooltop รวมทั้งให้บริการเช่าใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสำหรับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ และออกแบบติดตั้งระบบระบายความร้อนภายในโรงงานและคลังสินค้า ออกแบบติดตั้งระบบโอโซนเพื่อการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม
นายนพชัย กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินจากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้สร้างคลังสินค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีแผนจะสร้างคลังสินค้าที่พนัสนิคมในบริเวณโรงงานเดิมที่มีพื้นที่เหลืออยู่อีก 6 ไร่ครึ่งให้เป็นคลังสินค้าขนาด 6,000 ตารางเมตร เพื่อเก็บสต็อกสินค้าของบริษัทไว้จำหน่าย โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนซึ่งเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ
ขณะที่บริษัทมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยในไตรมาส 4/58 มีแผนจะวางตลาดสินค้าเป็นเครื่องล้างผักด้วยโอโซน เพื่อเสริมรายได้ช่วงหน้าหนาวซึ่งเป็นโลว์ซีซั่นของสินค้าพัดลม
ในปีนี้บริษัทคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตมากกว่า 40% จากปี 57 ที่มีรายได้ 463 ล้านบาท เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้แล้ว 437 ล้านบาท เติบโต 40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยอดขายช่วงเดือน ก.พ.-มิ.ย.ปกติจะเป็นไฮซีซั่นของทุกปี ทำให้สัดส่วนรายได้ครึ่งปีแรกคิดเป็น 2 ใน 3 ของรายได้รวมทั้งปี โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทั้งรายได้และกำไรครึ่งปีแรกจะเติบโตเฉลี่ย 40%
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จะสูงขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาทในปี 60 โดยรายได้หลักของบริษัทเป็นกลุ่มพัดลมไอเย็น 60-70% กลุ่มพัดลมไอน้ำ 25% ส่วนอีก 5% เป็นรายได้จากงานบริการ ขณะที่สัดส่วนรายได้มาจากตลาดในประเทศ 80% และอีก 20% เป็นการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายต่างประเทศที่มีครบในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)
สำหรับกำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าปี 57 ที่มีกำไร 31.40 ล้านบาท ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิแล้ว 27 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40% และอัตรากำไรสุทธิ 6-7% ซึ่งในปีนี้คาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะสูงขึ้นจากดอกเบี้ยที่ลดลง ขณะที่บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)อยู่ที่ 1.9 เท่า แต่หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วจะลดเหลือไม่เกิน 1 เท่า
นายนพชัย กล่าวว่า กลยุทธ์ในครึ่งปีหลังบริษัทจะลงทุนด้านการตลาดมากขึ้น ซึ่งในปีนี้จะใช้งบราว 5% ของรายได้ คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสร้างแบรนด์ให้ติดตลาด เพราะตลาดพัดลมไอเย็นและพัดลมไอน้ำเติบโตขึ้นมาก และช่วงหลังเริ่มมีสินค้าของคู่แข่งเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันช่องทางจำหน่ายหลักของบริษัท คือ โมเดิร์นเทรด ได้แก่ โฮมโปร แม็คโคร เมกาโฮม ไทวัสดุ และ สยามโกลบอลเฮ้าส์ โดยเฉพาะในโฮมโปรสินค้าของ KOOL มีส่วนแบ่งการตลาด 45% เป็นอันดับ 1 จากสินค้าที่ขายอยู่ราว 5-6 แบรนด์ ส่วนในบิ๊กซีและโลตัส บริษัทอยู่ระหว่างเจรจานำสินค้าเข้าไปวางจำหน่าย นอกจากนี้ ยังจำหน่ายผ่านดีลเลอร์อีกกว่า 200 ราย
"ปีนี้ลงงบการตลาดเยอะขึ้นราว 20 กว่าล้านบาทเพื่อสร้างแบรนด์ เพราะคู่แข่งเริ่มเข้ามาเล่น เราก็หวังถ้ายอดขายขึ้น Net profit คงดีขึ้น ซึ่งก็จะเห็นชัดเจนมากขึ้นในปี 59 ตลาดยังมีโอกาสโตอีกมาก เพราะถ้าดูมูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์ทำความเย็น (พัดลม และเครื่องปรับอากาศ) ราว 20,000--25,000 ล้านบาท เป็นของแอร์ 20,000 ล้านบาท พัดลม 3,000 ล้านบาท เราต้องเข้าไปทำการตลาดตรงนี้ให้ลูกค้ามองเห็นสินค้าของเรา จุดเด่นคือ สร้างลมเย็น โดยไม่ทำให้เกิดละอองน้ำและไม่เปียก เหมือนพัดลมไอน้ำ รวมถึง ยังประหยัดต้นทุนพลังงานกว่าเครื่องปรับอากาศโดยทั่วไปไม่ต่ำกว่า 10 เท่า"นายนพชัย กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 90 ล้านบาท โดยมีนายนพชัย วีวะมาน ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสัดส่วน 35.11% และหลังจากเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะลดสัดส่วนเหลือ 26.34%, นายฟัง เม็ง ฮอย ถือหุ้น 22.55% จะลดเหลือ 16.91% และบริษัทร่วมทุน เค-เอ็มเอ็มอี จำกัด ถือหุ้น 9.22% จะลดเหลือ 6.91%
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% จากกำไรสุทธิ