ทั้งนี้มีปัจจัยมาจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ เพื่อใช้ในการลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น การขยายส่วนต่อรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง การประมูลคลื่นความถี่ 4G รวมถึงปัจจัยจากเหตุการณ์ความไม่แน่นอนในช่วงกลางเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนียังคงทรงตัวอยู่ในกรอบซบเซา อีกทั้งปัจจัยภายนอกอื่นๆที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้น คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณเริ่มฟื้นตัว การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สงครามการเงินระหว่างมหาอำนาจของโลก ปัญหาการเมืองและสงครามระหว่างประเทศ และราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน
สำหรับอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ มากที่สุดในอีก 3 เดือนข้างหน้า คือ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) รองลงมาคือหมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง และหมวดวัสดุก่อสร้าง ตามลำดับ ขณะที่อุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจ มากที่สุด คือ เหล็ก (STEEL) รองลงมาคือ หมวดธุรกิจการเกษตร และหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในปีนี้ ยังคงมีความผันผวนรุนแรงอยู่ โดยได้รับผลจากปัจจัยด้านสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองของต่างประเทศที่ยังคงมีความไม่แน่นอนมากกว่าปัจจัยทางด้านเศษฐกิจและการเมืองภายในประเทศไทย
แนะนักลงทุนควรใช้โอกาสที่ตลาดเกิดความกังวลและความกลัวนี้ เลือกเก็บหุ้นที่มีคุณภาพดีเข้ามาถือครองไว้ ถึงแม้ว่าการลงทุนแบบ “Factor Investment" เลือกซื้อหุ้นรายตัวตามปัจจัยพื้นฐานจะต้องใช้เวลาในการศึกษาที่นานและต้องทำการบ้านหนักกว่าการซื้อแบบเก็งกำไรในระยะสั้น แต่นักลงทุนเองสามารถใช้โอกาสนี้ในการปรับวิธีการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายได้
นอกจากนี้รัฐบาลชุดนี้ยังได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าพร้อมที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าและธุรกิจขนาดเล็กในระยะสั้นไปพร้อมๆ กับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการปฏิรูปประเทศไทยในระยะยาว ดังนั้นการทำงานที่รวดเร็วและชัดเจนยิ่งขึ้นของ ครม. ชุดนี้จะส่งผลให้ภาคเอกชนกล้ากลับมาลงทุนและขยายกิจการมากขึ้น นักลงทุนจึงยังควรใช้วิกฤตและปัจจัยความท้าทายให้เป็นโอกาสลงทุนในระยะยาว
สำหรับกรณีที่เฟด จะมีการประชุมในวันที่ 16-17 ก.ย.58 มองว่าเฟดยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าตัวเลขเศรษฐิจที่ทยอยประกาศออกมาเริ่มดีขึ้นก็ตาม แต่เฟดน่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.58 แทน อย่างไรก็ตามหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1,290 -1,300 จุด อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามคาดดัชนีปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,400 จุด และน่าจะมีโอกาสปรับขึ้นไปสู่ระดับ 1,650 จุด ในระยะเวลา 1 ปีจากนี้ โดยยังมีปัจจัยระยะสั้นจากทางภาครัฐ ในเรื่องของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้านนายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา กรรมการผู้จัดการกลุ่มจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมาที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ และได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,300 จุดนั้น ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท (เฉพาะการซื้อผ่านบลจ.บัวหลวง) ซึ่งถือว่าสูงมาก เห็นได้ว่านักลงทุนได้ใช้โอกาสในช่วงที่หุ้นลงเข้ามาลงทุนในหุ้นระยะยาวมากขึ้น เพื่อที่จะได้รับเงินปันผลที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก