"เรามีแผนกระจายความเสี่ยงด้วยการเพิ่มตลาด AEC และ เอเชียมากขึ้น เพื่อลดความผันผวนของค่าเงิน"นายนิรันดร์ กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทก็จะรักษาตลาดส่งออกหลักที่มีอยู่ทั้งสหรัฐ ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และแสวงหาโอกาสในการขยายฐานลูกค้าและคำสั่งซื้อ โดยในช่วงวันที่ 18-24 ก.ย.นี้บริษัทจะเดินทางไปกับสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เพื่อร่วมงาน “Fine Food Australia 2015" งานแสดงสินค้าอาหารนานาชาติใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ณ นครซิดนีย์ ซึ่งบริษัทได้นำผลิตภัณฑ์จานชามเซรามิกประเภทไฟน์ไชน่า PE’TYE ไปจัดแสดงเพื่อแนะนำและสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ คาดว่าการร่วมงานแสดงสินค้าในครั้งนี้จะมีออเดอร์ใหม่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
พร้อมกันนั้น บริษัทก็จะเข้าเจรจากับกลุ่ม Southern Hospitality ของนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจกระจายสินค้าเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารในนิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เพื่อเพิ่ม ช่องทางในการนำเสนอสินค้าของบริษัทไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ผลักดันให้บริษัทเป็นหนึ่งใน Hotel Supplies ในระดับภูมิภาค เนื่องจากขณะนี้มีโรงแรมจำนวนมากที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างทั้งในสหรัฐ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิค
“HPT มองตลาดเซรามิกในต่างประเทศยังมี Volume อยู่มาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะเข้าไปชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น เห็นได้จากความต้องการที่ยังมีสัญญาณที่ดี ประกอบกับเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งด้านคุณภาพ ความทนทาน และการดีไซน์ เนื่องจากบริษัทมีความเชี่ยวชาญการผลิตเซรามิกประเภทไฟน์ไชน่ามาอย่างยาวนาน และมีการติดต่อใกล้ชิดกับลูกค้า ทำให้ทราบถึงความต้องการ รวมทั้งลักษณะการใช้งานของกลุ่มลูกค้าร้านอาหาร-โรงแรมในโซนต่างๆเป็นอย่างดี"นายนิรันดร์กล่าว
สำหรับแผนการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามาในระยะแรก หลังจากการติดตั้งเตาเผาและเครื่องจักรใหม่ เพื่อขยายคอขวดในกระบวนการผลิต และผ่านการทดสอบเครื่องจักร (Test Run) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทคาดว่าสามารถเริ่มการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ต้นไตรมาส 4/58 และเริ่มรับรู้รายได้จากกำลังผลิตใหม่ได้ทันที
นายนิรันดร์ กล่าวว่า กำลังการผลิตใหม่จะมีกำลังผลิตสูงสุดอยู่ที่ 3 ล้านชิ้น หรือเพิ่มขึ้น 100% จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตจากเตาเผาเดิมอยู่ที่ 3 ล้านชิ้นต่อปี โดยกำลังการผลิตในเฟสแรกที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากกำลังผลิตเดิมจะสามารถรองรับออเดอร์จากลูกค้าเดิมในโซนยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก โดยคิดเป็นมูลค่า 6 ล้านบาทที่จะรับรู้รายได้ทันทีในไตรมาส 4/58
บริษัทคาดว่าจากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าวที่เป็นการแก้ปัญหาคอขวดในกระบวนการผลิตในส่วนของการเผาเคลือบจะช่วยผลักดันให้รายได้ของบริษัทกลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 20% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า หลังจากคาดว่าปีนี้ผลประกอบการจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 57 ที่มีรายได้ 131.04 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากการส่งออกประมาณ 99% ในประเทศ 1% เนื่องจากบริษัทมีการปิดปรับปรุงและซ่อมแซมคุณภาพเตาเผาในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 30% ใกล้เคียงกับปีก่อนด้วยเช่นกัน ขณะที่กำลังผลิตใหม่จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรในปีต่อๆ ไป บริษัทยังได้มีการควบคุมต้นทุนในด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะด้านวัตถุดิบเนื้อดินและเนื้อเคลือบ รวมทั้งค่าเชื้อเพลิงหรือก๊าซ LNG ที่ลดลงส่งผลดีต่อต้นทุนผลิตของบริษัทด้วย
"ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ลดลงทั้งหมด และเมื่อเพิ่มเตาเผาเคลือบ ทำให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น เราก็จะไปขยายคอขวดส่วนที่ขึ้นรูปและเผาบิสกิตเพิ่มเติม"นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าว
นางสาวนิจวรรณ เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาแบรนด์สินค้าใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่ผลิตเป็นแบรนด์ของตัวเอง จากเดิมที่รับจ้างผลิตเป็นหลัก เพื่อทำให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นด้วย