สัปดาห์นี้ ตลาดยังมีความกังวลในเรื่องการจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันพุธนี้ ซึ่งจะรู้ผลในวันพฤหัสบดี ซึ่งขณะนี้มีความเป็นไปได้ 50:50 ในการที่เฟดจะขึ้นหรือไม่ขึ้นดอกเบี้ย โดยหากเฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยก็จะมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) รวมถึงประเทศไทยจำนวนหนึ่ง แต่คิดว่าไม่มากนัก เนื่องจากเฟดได้ส่งสัญญาณเรื่องนี้มานานพอสมควร และเม็ดเงินส่วนใหญ่ได้ไหลออกจาก Emerging market ไปกว่า 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้
นายวรุฒน์ คาดว่า การที่เงินทุนไหลออกหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะทำให้นับจากนี้ไปตลาดจะถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยพื้นฐาน(Fundamental driven)มากขึ้น จากเดิมที่ตลาดขับเคลื่อนหลักโดยสภาพคล่อง(Liquidity driven)มาหลายปีจากการไหลของเงินทุนโลกเข้าตลาด Emerging market จากเม็ดเงิน QE จากสหรัฐ
นอกจากนี้ ในสัปดาห์นี้ จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของยูโรโซน การประชุมธนาคารกลางสวิสเซอร์แลนด์ และการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งคาดว่า BOJ น่าจะรอผลของการประชุมเฟดในครั้งนี้ ด้านไทยเองจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธ คาดว่าน่าจะคงอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากช่วงนี้นโยบายทางการเงินจะมีผลค่อนข้างน้อย ประเทศไทยจะใช้นโยบายทางการคลังซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยตรงมากและเร็วกว่าในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามที่ ครม. ใหม่ได้เสนอมาตรการไปแล้ว ซึ่งจะต้องติดตามผลกันต่อไป
ด้านจีน เมื่อวันอาทิตย์ ได้มีการประกาศตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งยังโตอยู่แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่เนื่องจาก ตลาดคาดว่าในที่สุดทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ดังนั้น ความคาดหวังตรงนี้ ทำให้ตลาดหุ้นจีนไม่น่าจะปรับตัวลดลงมากเหมือนก่อนหน้านี้ และน่าจะมีลุ้นในการปรับตัวขึ้นอีกด้วยในระยะต่อไป
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ Trading Idea ของ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำลงทุนในหุ้นของ บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น(AAV) หรือสายการบินแอร์ เอเชีย โดยมองว่าได้รับประโยชน์จากการเติบโตของนักท่องเที่ยว ผู้ใช้สนามบิน และผู้โดยสาร ที่ฟื้นตัวจากปีที่แล้ว ซึ่งรัฐบาลคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทย 30 ล้านคน มากกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 28.8 ล้านคน โดยในรอบ 7 เดือนแรกมีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วถึง 17.5 ล้านคน และแม้จะมีเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงไม่ลด และคาดว่าในไตรมาส 4 จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาอีกจำนวนมาก
จาก Bloomberg consensus บรรดานักวิเคราะห์ได้คาดว่าปีนี้ AAV จะมีกำไรเติบโตที่ระดับสูงถึง 878% จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และคาดว่าจะโตอีก 17% ในปี 59 อนึ่งในปีนี้ คาดว่า AAV จะมีการจ่ายเงินปันผลเป็นปีแรกโดยมี Dividend Yield อยู่ที่ระดับ 2.2% นอกจากนี้ AAV กำลังขยายกิจการโดยเตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่ไปยังอินเดีย และจะทำให้สนามบินอู่ตะเภาเป็น hub ใหม่ของสายการบินอีกด้วย พร้อมเตรียมรับเครื่องบินเพิ่มอีก นอกจากนี้ AAV ยังได้รับผลกระทบเชิงบวก จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ต้นทุนด้านเชื้อเพลิงต่ำลงด้วย
ด้านความกังวลเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินที่ ICAO เข้ามาตรวจสอบและอาจโดนลงโทษห้ามบินเข้าสหรัฐและยุโรป ตรงนี้ AAV ไม่น่าจะได้รับผลกระทบ เนื่องจาก มีเส้นทางการบินระยะไกลที่สุดตอนนี้ คือ จีน เท่านั้น
“สัญญาณทางเทคนิคของ AAV ได้ส่งสัญญาณซื้อรายวัน และมีโอกาสที่ราคาจะไปปิด Falling gap ที่ระดับ 4.76บาท หากผ่านได้ก็จะไปได้ถึง 4.96บาท ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น ด้านราคาเป้าหมายด้านปัจจัยพื้นฐานจาก Bloomberg consensus ให้ไว้ที่ระดับ 5.73 บาท" นายวรุตม์ กล่าว