UNIQ มั่นใจปีนี้มีกำไรแม้รายได้พลาดเป้า,คาดรายได้ 5 ปีโตเฉลี่ยปีละ 20%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 15, 2015 11:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง คอนสตรัคชั่น(UNIQ)คาดว่าในช่วง 5 ปีนี้อัตราการเติบโตของรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นได้ปีละ 20% จากงานภาครัฐที่เป็นเมกะโปรเจ็คต์ทยอยเปิดประมูลในช่วงปี 58-59 จำนวน 17 โครงการ มูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าจะได้งานอย่างน้อย 1 สัญญาของแต่ละโครงการที่มูลค่างานไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันทีมีงานในมืออยู่ 3 หมื่นล้านบาท คาดไตรมาส 4/58 มีลุ้นได้งานรถไฟทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย เปิดประมูล 2 สัญญา วงเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท

แม้ปีนี้ผู้บริหารคาดว่ารายได้ไม่ได้ตามเป้าที่วางไว้ 1 หมื่นล้านบาท โดยปรับลดเหลือราว 8-9 พันล้านบาท แต่อัตรากำไรสุทธิจะไม่น้อยกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 5% จึงมั่นใจว่ากำไรปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน ขณะที่ฐานะการเงินของบริษัทยังมั่นคง

นายนที พานิชชีวะ ประธานกรรมการ UNIQ เปิดเผยว่า รายได้ของบริษัทปีนี้คาดว่าจะปรับลดเหลือประมาณ 8-9 พันล้านบาท จากเดิมคาดไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท และเทียบกับปีก่อนที่รายได้ 8.2 พันล้านบาท เนื่องจากภาครัฐชะลอการประมูลโครงการต่าง ๆ ออกไป ซึ่งเป็นปกติของการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่าน มักทำให้การประมูลงานขนาดใหญ่ไม่ได้ดำเนินการตามที่วางแผนไว้

รายได้หลักของบริษัทในปีนี้จะมาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 1 ซึ่งเป็นงานโยธาสำหรับสถานีบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว(หมอชิต-คูคต) สัญญาที่ 2 เพิ่มมากขึ้น ทำให้คาดว่ารายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก

"ครึ่งปีหลัง น่าจะไม่น้อยกว่า ครึ่งปีแรก เพราะทุกอย่างเริ่มนิ่ง ถ้าไม่มีผลกระทบอะไรพิเศษ ไม่ได้แย่ลง ยกเว้นถ้ามีผลกระทบอย่างอื่น รับรู้รถไฟฟ้าสายสีแดงเป็นหลัก แต่เพิ่งเริ่มเต้นสายสีเขียว แต่รายได้ทั้งปีไม่ถึงที่ประมาณการ ตอนแรกเราประมาณการสมมติฐานว่าตัวโครงการจะออกมาแล้ว พอเอาจริงไม่ได้ออกมาในไตรมาสที่เราคาดการณ์ก็จะเลื่อนรับไปในปีหน้า ผมคิดแบบ conservative กรณีประมูลใหม่ไม่ได้เลย รายได้น่าจะอยู่ประมาณ 8-9 พันล้านบาท"นายนทีให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจว่ากำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าปีก่อนที่มีกำไร 502 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าปีนี้จะทำได้ไม่น้อยกว่า 5% จากปีก่อนอยู่ระดับ 6% และอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะอยู่ที่ราว 20% ในช่วงครึ่งแรกปีนี้บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิที่ 6% แล้ว

"งานภาครัฐหัวใจอยู่ที่การบริหารต้นทุน เพราะทุกอย่างถูกขีดเส้นไว้หมด เขาให้ราคาตามมาตรฐานของที่รัฐตั้งไว้ รวมทั้งการบริหารความเสี่ยง ถ้ามีการบริหารจัดการดีก็จะมีกำไรดี ไม่ได้อยู่ที่ราคา"นายนที กล่าว

ปัจจุบัน UNIQ มีงานในมือ(Backlog)อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้งานใหม่เพิ่มเข้ามามูลค่ารวม 1.3 หมื่นล้านบาท ได้แก่ งานรถไฟฟ้าสายสีเขียว(หมอชิต-คูคต)สัญญาที่ 2 มูลค่างาน 7 พันล้านบาท งานอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่งัด-แม่กวง สัญญาที่ 2 มูลค่างาน 2 พันล้านบาท และงานรถไฟฟ้าสายสีแดงสัญญาที่ 1 บริษัทได้งานเพิ่มในส่วนที่ปรับแบบ มูลค่างาน 4 พันล้านบาท

ทั้งนี้ Backlog ที่มีอยู่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ 2-3 ปี หรือเฉลี่ยรับรู้ฯปีละ 1 หมื่นล้านบาท ยังไม่นับงานใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มเติม โดยในครึ่งหลังปีนี้บริษัทคาดว่าจะได้งานอย่างน้อย 2 สัญญา จากที่กระทรวงคมนาคมจะเปิดประมูลโครงการมอเตอร์เวย์ที่ ครม.อนุมัติแล้ว 3 เส้นทาง โครงการรถไฟทางคู่ และ โครงการพัฒนาขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2

*เชื่อ 2-3 ปีนี้งานภาครัฐล้นทะลักดันรายได้โตเฉลี่ยปีละ 20%

นายนที เชื่อมั่นว่า ในช่วง 2-3 ปีจากนี้จะมีงานภาครัฐทยอยออกมาเป็นจำนวนมาก บริษัทมีโอกาสได้รับงานค่อนข้างมากด้วย เนื่องจากเป็นบริษัทเดียวที่เน้นรับงานแต่ภาครัฐ 100% และยังไม่มีแนวคิดที่จะหันไปรับงานภาคเอกชน เพราะมีความถนัดในงานภาครัฐ และมองว่างานภาคเอกชนมีความเสี่ยงมากกว่า

"ถ้าคุยแยกงานภาครัฐเราไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย ขณะที่บริษัทไม่มีแนวคิดรับงานเอกชน เพราะเห็นว่างานเอกชนไม่มีความมั่นคง ภาคเอกชนตอนเศรษฐกิจดีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี เอกชนจะส่งผลกระทบอย่างมาก อย่างปี 40 UNIQ ไม่มีผลกระทบอะไรเลย ตึกที่สร้างไม่เสร็จ ผู้รับเหมาเสียหาย จะไม่รู้สึกสบายใจถ้าจะมารับงานภาคเอกชน ฉะนั้นเราลุยงานภาครัฐ ซึ่งเราเองก็ถนัด และงานรัฐก็เยอะพอ ก็ไม่รู้ว่าจะเอางานภาคเอกชนทำไม"นายนที กล่าว

และแม้แต่งานในต่างประเทศ บริษัทก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะออกไปรับงาน เพราะมองว่ามีข้อที่เสียในแง่วิธีบริหารคน รัฐบาลประเทศที่รับงาน รวมทั้งมีความเสี่ยงด้านการเงินและกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหมือนกับที่คุ้นเคยกับการทำงานในประเทศไทย เมื่อเกิดปัญหาก็รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร แต่หากเกิดปัญหาในต่างประเทศจะมีความยุ่งยาก ที่ผ่านมาก็เห็นตัวอย่างที่แก้ไม่ได้

สำหรับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่กำลังจะทยอยออกมานั้น นายนที กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในเบื้องต้นที่จะได้รับงานในทุกโครงการอย่างน้อยโครงการละ 1 สัญญา เนื่องจากแต่ละโครงการมีมูลค่าสูงในระดับหมื่นล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะมีงานใหม่ออกมามาก แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องเป็นงานที่มีกำไรในระดับที่เหมาะสม

"ผมมองว่าเราต้องทำงานต้องมีกำไร ถ้างานที่ทำแล้วไม่มีกำไรก็จะไม่เอา งานที่ไม่กำไรก็เหมือนเอาไปเป็นทุกขลาภ เราตั้งไว้ว่าควรจะมีอัตรากำไรสุทธิ 5% ซึ่งถือว่าเป็นอัตรากำไรที่เหมาะสม มาร์จิ้นเราควร หรือพยายามอยู่ที่ 5% แต่ถ้าไม่มีงานคือจนตรอกก็ต้องรับงาน มันไม่ได้เป็นยุคที่จำเป็นต้องเอางาน กำไรที่เหมาะสมเป็นกำไรเป็นสิ่งสำคัญ"นายนที กล่าว

ในแง่การรับรู้รายได้ในช่วงต่อจากนี้อาจจะไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตต่อเนื่องปีละ 20% เพราะคาดว่างานรัฐจะทยอยออกมาต่อเนื่องในช่วง 5 ปีนี้นับจากปี 59 ในลักษณะเป็นขั้นเป็นตอน เนื่องจากงานใหม่ที่เข้ามาในช่วง 2-3 ปียังต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ทำให้ไม่ออกมาได้เร็วมากนัก แต่ต้องทยอยออกมา

"การที่จะได้งาน กว่าจะเซ็นสัญญา กว่าจะลงมือทำงาน ก็จะมีรับรู้รายได้เป็นขั้นบันได จะไม่กระโดดมากโดยบริษัทก็ไม่อยากให้มีการกระโดดมาก เพราะถ้ากระโดดมาก พอถึงเวลาหนึ่งจะปรับตัวได้ยาก สู้เราเติบโตแบบขั้นบันไดดีกว่า"นายนที กล่าว

ส่วนการจะมีพันธมิตรเข้ามาร่วมรับงานหรือไม่นั้น คงต้องชึ้นกับทีโออาร์ของแต่ละโครงการ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทก็มีพันธมิตรร่วมงานมาแล้ว ได้แก่ ซิโนไฮโดรจากจีน ร่วมในงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย นอกจากนี้บริษัทเคยร่วมลงทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น, ซุนวูจากฮ่องกง ฉะนั้น การหาพันธมิตรของ UNIQ ไม่ยาก แต่ต้องมองให้เหมาะสม

นายนที กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังศึกษาการลงทุนในโครงการระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ซึ่งเห็นชัดว่ามีจำนวนผู้เโดยสารมาก และบริษัทศึกษาทุกเส้นทางที่เปิดให้ศึกษาความเหมาะสม จาก ridership (ผู้โดยสาร) ค่าโดยสาร และความคุ้มทุ

ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพ-หัวหิน และ กรุงเทพ-ระยอง จะเน้นที่ปริมาณ traffic ถ้าเห็นชัดก็น่าสนใจ ถ้าผู้โดยสาร (ridership) น้อยจะทำให้โครงการมีความเสี่ยงสูง "โครงการใดที่เป็นโอกาส เราศึกษาหมด ถ้าตัวเลขศึกษาดีก็สนใจ แต่ไม่ปิดโอกาส"นายนที กล่าว

ประธานกรรมการ UNIQ กล่าวว่า เนื่องจากช่วงนี้ขยายงานรองรับงาน บริษัทมีเงินสดเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ตอนนี้มีประมาณ 670 ล้านบาท(สิ้น มิ.ย.58)ซึ่งเห็นว่าการมีเงินสดมากไปก็ไม่ดี และจากวงเงินกู้ธนาคาร 2 พันกว่าล้านบาท(จากธนาคารกรุงไทย)เป็นเงินทุนหมุนเวียนด้วย จึงไม่มีมีปัญหาเรื่องเงิน ส่วนเครื่องมือเครื่องจักรใช้วิธีลีสซิ่ง โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ที่ 1 เท่า

อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการออกหุ้นกู้ว่าต้นุทนการเงินเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับเงินทุนหมุนเวียนที่นำมาจากธนาคาร

นายนที มองราคาหุ้น UNIQ ปัจจุบัน เห็นว่าราคาเกินกว่าที่คิด แสดงว่าผู้ลงทุนมั่นใจบริษัท โดยสัดส่วนนักลงทุนต่างประเทศปรับตัวชึ้นมาตลอด หลังจากที่บริษัทออกไปทำโรดโชว์เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

ราคาหุ้น UNIQ ล่าสุดวันนี้(10.59 น.)อยู่ที่ 20.10 บาท หลังจากทำราคาสูงสุดที่ 20.80 บาท เมื่อวันที่ 27 ส.ค.58


แท็ก (UNIQ)  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ