ทั้งนี้ การประกาศดังกล่าวทำให้ไทยสูญเสียศักยภาพในการส่งออกน้ำมันดิบ ซึ่งที่ผ่านมามีปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบทั้งประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ที่ 384,798 ตัน ในเดือนพ.ค.58 จากปี 57 มีจำนวน 167,060 ตัน ส่งผลราคาขายน้ำมันปาล์มดิบปรับลดลงจากปีก่อน
ประกอบกับ พื้นที่ปลูกปาล์มส่วนหนึ่งได้หมดอายุสัมปทานลง ทำให้บริษัทต้องซื้อผลปาล์มสดจากภายนอกมาทดแทน ทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น โดยสัดส่วนการซื้อผลปาล์มสดจากภายนอกเพิ่มขึ้นเป็น 70% จากเดิมที่ซื้อจากสวนภายนอก 40-50%
"ทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะลดลงกว่าครึ่งปีแรก แม้ว่าผลผลิตปาล์มในไตรมาส 4/58 จะสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว แต่เนื่องด้วยได้รับผลกระทบจากการตรึงราคารับซื้อผลปาล์มที่ส่งผลให้ไทยเสียศักยภาพในการส่งออก และยังมีสต็อคน้ำมันปาล์มดิบทั้งประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯคาดปีนี้รายได้จะลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนด้วย"กรรมการผู้จัดการ UPOIC กล่าว
น.ส.อัญชลี กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ลปลูกปาล์มที่สิ้นสุดสัมปทานไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น ขณะนี้บริษัทย่อยก็อยู่ระหว่างดำเนินการขอใบอนุญาตกับกรมป่าไม้ ซึ่งต้องรอว่ารัฐบาลจะต่ออายุสัมปทานให้หรือไม่ ขณะเดียวกัน บริษัทก็เตรียมหาซื้อที่ดินเพื่อใช้ในการขยายการปลูกปาล์ม ซึ่งมองว่าการมีพื้นที่ปลูกสวนปาล์มเองนั้นจะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบต่ำกว่าการซื้อผลปาล์มสดจากภายนอก โดยแหล่งเงินจะมาจากเงินกู้ธนาคาร เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) ไม่ถึง 1 เท่า แสดงว่าบริษัทยังมีความสามารถในการกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินได้อีกมาก
ปัจจุบัน บริษัทมีพื้นที่ปลุกปาล์ม 29,072 ไร่ใน จ.กระบี่ และ จ.สุราษฎ์ธานี แบ่งเป็นพื้นที่ของบริษัท 20,684 ไร่ พื้นที่สัมปทานที่ต่ออายุแล้ว 4,094 ไร่ และพื้นที่สัมปทานที่เช่า 4,294 ไร่ โดยคาดว่าในปี 58 จะมีผลผลิตราว 76,000 ตัน