อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรสุทธิในปีนี้ยังต้องรอประเมินในช่วงไตรมาส 4/58 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น โดยยบริษัทหวังว่าจะสามารถผลักดันรายได้ และกำไรสุทธิให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ 8.5 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 380.67 ล้านบาท เนื่องจากจะมีผลผลิตปาล์มเข้าตลาดมามากส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตปรับตัวลดลง
"ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประชาชนมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ทำให้การบริโภคลดลง ห้างสรรพสินค้าจัดโปรโมชั่นไม่ได้รับผลตอบรับที่ดี ความต้องการซื้อก็ลดลง ส่งผลต่อปริมาณการขายให้ปรับตัวลดลงด้วย ในส่วนของพ่อค้าน้ำมันก็ลดสต็อกสินค้าลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วช่วงไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่ยอดขายชะลอตัวอยู่แล้ว เราก็ต้องมารอลุ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ จากอดีตที่ผ่านมาเวลาห้างสรรพสินค้าจัดโปรโมชั่นลดราคา ผู้บริโภคจะซื้อน้ำมันพืชไปเก็บไว้แต่ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ผู้บริโภคประหยัดและระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จึงไม่ซื้อสินค้าน้ำมันพืชไปกักตุนไว้ ซึ่งเรายอมรับว่าเป็นผลกระทบต่อยอดขายในปีนี้"นางสาวอัญชลี กล่าว
อนึ่ง ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ LST มีกำไรสุทธิ 196.46 ล้านบาท และมีรายได้ 4.3 พันล้านบาท
นางสาวอัญชลี กล่าวว่า บริษัทเตรียมเงินลงทุนซื้อเครื่องจักรบรรจุใหม่ทดแทนเครื่องจักรเดิมที่บางเครื่องอายุการใช้งานนานกว่า 30 ปี นอกจากนี้ยังมีการลงทุนเครื่องผลิตขวดบรรจุน้ำมันพืช โดยใช้งบลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยติดตั้งเสร็จในช่วงไตรมาส 4/58 และจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ในช่วงไตรมาส 1/59 ซึ่งการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ ประกอบกับจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 40%
นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา เพื่อเป็นการกระจายยอดขายให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการที่อยู่ในกลุ่มอาหารในประเทศ 1 แห่ง แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด
ส่วนประกาศของคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติ (กนป.) ที่จะยกระดับราคาน้ำมันปาล์มดิบไม่ต่ำกว่า 26.20 บาท/กิโลกรัมนั้น ส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบของประเทศ จากปีก่อนที่มีการส่งออก 167,060 ตัน แต่ปีนี้ไม่สามารถส่งออกได้ เพราะราคาในกลุ่มประเทศคู่แข่ง เช่น มาเลเซียปรับตัวลดลงไปถึงระดับ 16 บาท/กิโลกรัม จึงต้องการให้หน่วยงานที่ดูแลยกเลิกการตรึงราคาดังกล่าว และปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ