สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งในด้านรายได้ และกำไรสุทธิ คาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะยอดขายในประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้บริษัทยังสามารถหาช่องทางการตลาด โดยอาศัยการเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศอื่นๆที่ยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มลูกค้าในกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง สำหรับยอดขายในประเทศก็ยังมีการเติบโตได้ โดยปีนี้และปีหน้าบริษัทมั่นใจว่ารายได้จากส่วนธุรกิจเฟอร์นิเจอร์จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 12%
“ปีนี้กำไรสุทธิของเราดีกว่าปีก่อนแน่นอน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของยอดขาย ในขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีหลังจะเข้าเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเราได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว และต้นทุนวัตถุดิบค่อนข้างคงที่ และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงอีกด้วย ซึ่งเรามองว่าราคาวัตถุดิบจะอยู่แบบนี้ไปถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย"นายอารักษ์ กล่าว
อนึ่ง ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ECF ทำกำไรสุทธิได้แล้ว 34.63 ล้านบาท
นายอารักษ์ กล่าวว่า สำหรับแผนการขยายสาขาในประเทศบริษัทมีแผนเปิดโชว์รูมแบรนด์ ELEGA อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีอยู่ 15 สาขา และปีหน้าตั้งเป้าเปิดไม่ต่ำกว่า 2 - 3 สาขา และการเปิดสาขาของเฟอร์นิเจอร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ของดิสนีย์บริษัทได้เริ่มจำหน่ายสินค้า ชื่อร้าน Finna House ซึ่งในปลายปีนี้มีแผนที่จะเปิด Flagship store ย่านเกษตรนวมินทร์อีกทั้งยังวางแผนเปิดสาขา Finna House ปีนี้อีกจำนวน 2 สาขาด้วย
ขณะที่ปีหน้าจะเปิดอีก 2 สาขาโดยตั้งเป้ามีสาขา Finna House เพิ่มเป็น 10 สาขาในปี 60 ขณะเดียวกันบริษัทจะนำผลิตภัณฑ์แบรนด์ ดิสนี่ย์เข้าไปขายในโมเดิร์นเทรด ในช่วงประมาณเดือนพ.ย. นี้ โดยบริษัทคาดว่าจะมียอดขายในส่วนของดิสนีย์ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ภายในปี 59 สำหรับงบลงทุนในการเปิดสาขาทั้งแบรนด์ Finna House และ ELEGA คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท/สาขา แต่หากเป็นสาขา Flagship store อาจจะอยู่ที่ราว 4-5 ล้านบาท/สาขา
นายอารักษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนขยายการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่ในช่วง 1-2 เดือนนี้บริษัทจะเจรจากับลูกค้าเพื่อที่จะรับคำสั่งซื่อใหม่ๆเข้ามา โดยการขยายการผลิตนั้นอาจจะเป็นรูปแบบการสร้างโรงงานผลิตเอง หรือการจ้างภายนอก (Outsource) เป็นผู้ผลิต ซึ่งหากได้รับงานใหม่เพิ่มเติมบริษัทจะมีการผลิตไม่เพียงพอกับคำสั่งซื้อที่เข้ามา เนื่องจากปัจจุบันใช้กำลังการผลิตไปถึง 80% และยังมีการจ้าง Outsource อีกบางส่วน
"หากเราโตตามแผนที่เราคาดหวัง ก็จะเติบโตแบบที่เราก็ผลิตไม่ทัน ซึ่งปัจจุบันเราก็ใช้กำลังการผลิตไปแล้วถึง 80% ก็ถือว่าเต็มสุดๆแล้ว และยังจ้าง Outsource อยู่บางส่วน ซึ่งเราต้องมาคุยกันถึงเรื่องขยายกำลังการผลิตว่าจะทำออกมาในรูปแบบไหน"นายอารักษ์ กล่าว
นายอารักษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทนนั้นบริษัทยังคงมีแผนการขยายงานต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญได้ตั้งแต่กลางปี 60 เป็นต้นไป หากการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ , โครงการโซลาร์รูฟท็อปรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลทำได้ตามแผนที่หวังไว้ โดยโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่จะร่วมทุนกับบมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) และพันธมิตรรายอื่นๆ ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนของการรอความชัดเจนการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากภาครัฐ โดยบริษัทยังคงเป้าหมายที่จะยื่นเสนอขายไฟฟ้าสูงสุดที่ 120 เมกะวัตต์ และคาดว่ามีโอกาสได้รับไม่น้อกว่า 40-50 เมกะวัตต์
ขณะที่การลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปร่วมกับ บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากภาครัฐเรื่องการประกาศรับซื้อไฟฟ้าเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เตรียมความพร้อมในทุกๆด้านทั้งในส่วนของพื้นที่หลังคา ที่จะใช้สำหรับติดตั้งแผงโซลาร์รูฟ ที่มีพื้นที่ประมาณ 70,000 ตารางเมตร อีกทั้งยังเตรียมมิเตอร์จ่ายไฟไว้แล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ 1.5 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามบริษัทจะพิจารณาถึงผลตอบแทนในการลงทุน(IRR) ไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะต้องสนับสนุนอัตราการรับซื้อไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 36 เยน/หน่วย ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นมีการสนับสนุนอัตรารับซื้อไฟฟ้าในอัตราที่น้อยกว่า 36 เยน/หน่วย ส่งผลให้บริษัทอาจจะยังไม่ได้พิจารณาเข้าไปลงทุนในช่วงนี้