ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ
ขณะที่บริษัทฯเตรียมเปิดโครงการ “ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา" ในช่วงต้นไตรมาส 4 เพื่อเป็นการเจาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนศรีราชา ซึ่งมีมูลค่าโครงการถึง 2,500 ล้านบาท เป็นโครงการแรกของบริษัทฯที่มีการเปิดในต่างจังหวัด และเป็นอาคารสูงถึง 36 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท โดยผู้อาศัยสามารถสัมผัสวิวทั้งภูเขา และทะเลในรูปแบบ 360 องศา เน้นเจาะ 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มผู้สนใจในการลงทุนซื้อเพื่อปล่อยเช่า, กลุ่มคนญี่ปุ่นที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัย และกลุ่มคนในพื้นที่ที่ต้องการขยายครอบครัว ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท
“ปัจจุบันอำเภอศรีราชา มีนิคมอุตสาหกรรมที่สำคัญ ๆ คือ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง, ปิ่นทอง, เหมราช, บ่อวิน, อมตะซิตี้, อีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งเท่าที่ยกมาให้ดูจะมีผู้ประกอบการ(โรงงาน) มากกว่า 1,100 ราย และกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลพวงมาจาก น้ำท่วมในเขตอุตสาหกรรมตอนบนของกรุงเทพ และความสะดวกในการเดินทาง ทำให้ความต้องการที่พักอาศัยเป็นสิ่งสำคัญหลักของศรีราชาในขณะนี้" นายพีระพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังพบว่า คอนโดมิเนียม และเซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์ ที่ศรีราชา มีอัตราการเข้าใช้มากกว่า 90% โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 47,000 บาทต่อเดือน ขนาดห้องพัก 30 – 40 ตรม. รวมถึงราคาที่ดินเพิ่มขึ้นตารางวาละ 3 แสนบาท ดังนั้นโครงการคอนโดมิเนียมในศรีราชา จึงได้รับความนิยมจากกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อไว้ปล่อยเช่าคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง เนื่องจากเมื่อเทียบจากราคาคอนโดฯตารางเมตรละ 6 หมื่น -1.3 แสนบาท จะให้ผลตอบแทนการลงทุนจากค่าเช่าเฉลี่ยปีละมากกว่า 10%
นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มว่า ในอนาคต “ศรีราชา" จะมีความคึกคักไม่แพ้กรุงเทพฯ เพราะด้วยความโดเด่นของเมืองนิคมอุตสาหกรรม เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน โดยศรีราชาเป็นเมืองท่าสำคัญลำดับ 16 ของโลก ที่ทำรายได้ปีละ 2 แสนล้านบาท ทำให้ศรีราชาได้กลายเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ที่มีรายได้มาก นอกจากนี้ ยังมีโครงการจากภาครัฐมากมาย ทั้งท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่แหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง และโครงการในอนาคต เช่น แผนการขยายเส้นทางมอเตอร์เวย์พัทยา-มาบตาพุต คาดว่าจะเสร็จในปี 60, โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง, รถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง, โครงการเชื่อมรถไฟแหลมฉบัง-เมืองทวาย ล่าสุดเตรียมพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3
ดังนั้น “ศรีราชา" จึงมีความต้องการที่พักอาศัยในอนาคตเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว บริษัทเล็งเห็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับบริษัท จึงได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม โดยชูจุดเด่นการออกแบบที่เน้นฟังก์ชันความคุ้มค่า รูปแบบการดีไซต์ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ นอกจากนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะขยายกลุ่มลูกค้าชาว จีน และสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทฯมีทีมเซลล์อินเตอร์ที่มีศักยภาพ และมีพันธมิตรทางการค้าในต่างประเทศที่ช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนของบริษัทฯซึ่งสอดคล้องกับการเปิดตลาด AEC
นายพีระพงศ์ กล่าวว่าในช่วงครึ่งปีหลัง 58 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีกประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด และอาจจะเห็นการเปิดโครงการผสมผสานในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ได้ในอนาคต ส่วนแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมยังคงมีเพิ่มสูงขึ้น บริษัทฯเชื่อว่าครึ่งปีหลังตลาดคอนโดฯยังคงมีสีสันไม่แพ้ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากคอนโดฯเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้มากที่สุด บริษัทฯเชื่อว่ากำลังซื้อในตลาดคนรุ่นใหม่ยังคงมีอยู่
"โครงการของ ORI ทุกโครงการสามารถตอบสนองความต้องการของกำลังซื้อเหล่านี้ได้เหนือคู่แข่งรายอื่น โดยจะเห็นได้จากการสบช่องทางใหม่ในการเตรียมขยายศักยภาพการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้ “ ไนท์บริดจ์ " บนทำเลทอง ย่านเกษตร – สะพานใหม่ ตามแผนกลยุทธ์ทางการมองตลาด คอนเซ็ปต์บลูโอเชี่ยน คือ ทำเลศักยภาพใหม่ ที่มีคู่แข่งน้อยราย"นายพีระพงศ์ กล่าว