ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเมื่อต้นปีเริ่มต้นที่ 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และคาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ถึงสิ้นปีราคาน้ำมันน่าจะอยู่ที่ระดับ 54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งหากเป็นไปในระดับราคาดังกล่าวก็จะทำให้ปีนี้ไม่เกิดการขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน(Stock loss) แต่ก็ต้องดูในช่วงที่เหลือของปีนี้ก่อน
ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในปี 59 คาดว่าจะปรับขึ้นเล็กน้อยไม่เกิน 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะอุปทานที่ล้นตลาดจะปรับลดลง และมีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกพื้นตัวได้ดีขึ้นก็น่าจะส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น
นายสรัญ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนการนำธุรกิจค้าปลีกของ ปตท.แยกเป็นบริษัทและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อความชัดเจน ซึ่งในแง่เศรษฐศาสตร์แล้วต้องแยก แต่ก็ต้องศึกษาดูผลกระทบ ข้อกฎหมาย ผู้ถือหุ้น และบริษัทย่อยอื่นๆ ด้วย โดยจะพยายามทำให้เร็วที่สุด คาดว่าจะได้เห็นภายใน 3 ปีนี้
ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกทั้งหมดที่ไม่ใช่น้ำมัน (non-oil)มีสัดส่วนกำไรคิดเป็น 25% ของธุรกิจค้าปลีกทั้งหมด และตั้งเป้าใน 3 ปี กำไรจากส่วนนี้จะเพิ่มเป็น 50% ของธุรกิจค้าปลีก แต่หากเทียบภาพรวมธุรกิจค้าปลีกกับกำไรของกลุ่ม PTT ยังมีสัดส่วนไม่ถึง 10%
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาแผนควบรวมกิจการ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) กับบมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ซึ่งอยู่ในแผนแม่บทของบริษัท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม แต่หลังควบรวมแล้วจะก่อให้เกิด Synergy ร่วมกันหลายด้าน ทั้งการบริหารจัดการร่วมกัน ต้นทุนร่วมกัน
ส่วนแผนการนำ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง(SPRC) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนอยู่ในขั้นตอน คาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ภายในปลายปีนี้ โดย PTT ถือหุ้น 36% และจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงทั้งหมด