"ปีนี้เรามองว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ 50 บวกลบ เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากจากปีก่อน ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบ และต้นทุนด้านพลังงานในการผลิต ปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามราคาขายเคมีภัณฑ์ปรับลดลงช้ากว่าต้นทุนที่ลดลง ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเติบโตได้ค่อนข้างดี และทั้งปีเราก็มั่นใจว่าจะมีผลประกอบการออกมาเป็นกำไรแน่นอน"นายสุกฤตย์ กล่าว
อนึ่ง ในปี 57 IRPC มีผลขาดทุนสุทธิ 5.23 พันล้านบาท เป็นการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันและค่าเผื่อการลดลงของสินค้าคงเหลือ(LCM)ราว 1 หมื่นล้านบาท หลังราคาน้ำมันดิบร่วงลงในช่วงปลายปีมาอยู่ที่ราว 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้บริษัททำกำไรสุทธิได้แล้วราว 8.07 พันล้านบาท
นายสุกฤตย์ กล่าวต่อว่า ในปีหน้าคาดว่าบริษัทจะกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 2 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่กลั่นน้ำมันที่ 1.8-1.9 แสนบาร์เรล/วัน หลังโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV) ที่ใช้งบลงทุน 3.4 หมื่นล้านบาท จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/58 ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรขั้นต้นให้บริษัท 3-4 พันล้านบาท/ปี ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างเตรียมสรุปแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานลงเหลือ 5-6% จากปัจจุบันอยู่ที่ 6-7% ในปี 59 แต่คาดว่าจะมีการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 60 หลังจากที่ทางบริษัทชำระเงินกู้ระยะสั้นที่มีอยู่ราว 2-3 หมื่นล้านบาททั้งหมดแล้ว
"เราเตรียมสรุปแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในปี 59 แต่จะลงทุนจริงๆก็คงเป็นช่วงหลังปี 60 ไปแล้ว หลังจากที่เราชำระหนี้ทั้งหมด ซึ่งเราจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ UHV ในปีหน้าที่เข้ามาช่วยให้เราสามารถคืนหนี้ได้หมดใน 1-2 ปี เราถึงจะกู้เงินนั้นมาลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยที่ผ่านมาเราไม่เคยเพิ่มทุนมาก่อน เพราะเรามองว่าเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยราว 4% ถือว่าไม่แพงและเหมาะสมแล้ว ถ้าจะไปใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆดอกเบี้ยก็คงจะแพงกว่านี้"นายสุกฤตย์ กล่าว
นายสุกฤตย์ กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมสรุปแผนการควบรวมกิจการกับ PTTGC ในปี 59 แต่จะเกิดขึ้นจริงก็คงเป็นในช่วงปี 61-62 เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจที่ค่อยๆเริ่มกระเตื้องขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้แต่ละบริษัทมีผลประกอบการที่ออกมาค่อนข้างดี จะเห็นได้จากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งในภาวะแบบนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะควบรวม
"เราเตรียมสรุปแผนการควบรวมกับ PTTGC ในปีหน้า แต่การควบรวมจริงๆก็คงจะเกิดขึ้นในปี 61-62 เพราะปัจจุบันผลการดำเนินงานของแต่ละบริษัทก็ยังออกมาดี จึงไม่มีความจำเป็นที่จะควบรวมกันในช่วงนี้ แต่หากในช่วงที่ไม่ดีเราก็ควรรวมกัน เพื่อสร้างผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันการควบรวมในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และมีรายละเอียดที่ยังต้องศึกษา"นายสุกฤตย์ กล่าว