ทริส คงอันดับเครดิต NMG ที่ “BBB+" ปรับแนวโน้มเป็น Stable จาก Positive

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 17, 2015 16:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) ที่ระดับ “BBB+" และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable" หรือ “คงที่" จาก “Positive" หรือ “บวก" ซึ่งสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งว่า บริษัทจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ในการที่จะได้รับประโยชน์จากธุรกิจดิจิตอลทีวี

อันดับเครดิตสะท้อนถึงชื่อเสียงของ NMG ในฐานะผู้ให้บริการด้านข่าวสารผ่านสื่อหลากหลายประเภท ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งของสื่อหนังสือพิมพ์ของบริษัท และสภาพคล่องที่ดี อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนของอุตสาหกรรมโฆษณาที่เป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจดิจิตอลทีวี และความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะผู้นำในการให้บริการด้านข่าวสารผ่านทางสื่อหลากหลายประเภทและมีสถานะการเงินที่แข็งแรงต่อไปได้ ทั้งนี้ อันดับเครดิตมีโอกาสที่จะถูกปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดหมายและมีเงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้นจากระดับปัจจุบันมาก อันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสที่จะถูกปรับลดลงในกรณีที่การแข่งขันในธุรกิจดิจิตอลทีวีทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหรือหากผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง

NMG หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “เนชั่นกรุ๊ป" เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านสื่อในระดับแนวหน้าของไทย บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดย ณ เดือนพฤษภาคม 2558 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วย บมจ.นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น(NEWS) (12.21%) นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น (10.01%) นายศิร์วสิษฎ์ สายน้ำผึ้ง (9.14%) และ บริษัท โพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) (7.54%) ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นดังกล่าวว่าจะมีผลกระทบต่อทิศทางในการดำเนินธุรกิจหรือผู้บริหารสำคัญของบริษัทหรือไม่เพียงใด ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนคุณภาพเครดิตของบริษัท

ธุรกิจของบริษัทประกอบด้วย สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพ สาระบันเทิง การศึกษา การพิมพ์ และขนส่ง ธุรกิจหลักของบริษัทได้แก่ธุรกิจสื่อหนังสือพิมพ์และธุรกิจสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพซึ่งสร้างรายได้ 45% และ 40% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 31% และ 45% ตามลำดับ

รายได้ค่าโฆษณาในสื่อหนังสือพิมพ์และดิจิตอลทีวีถือเป็นรายได้หลักของบริษัท โดยทั่วไปแล้ว งบโฆษณาสำหรับทุกสื่อจะแปรผันไปตามภาวะเศรษฐกิจ ปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือนส่งผลกระทบต่อการบริโภคของภาคครัวเรือนและงบโฆษณา ทั้งนี้ ข้อมูลของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยระบุว่างบโฆษณารวมในสื่อทุกประเภทลดลง 11% ในปี 2557 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2558 นั้น งบโฆษณารวมในสื่อทุกประเภทปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 24% ซึ่งเป็นการเพิ่มจากงบโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอลทีวีเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม งบโฆษณาส่วนใหญ่ยังอยู่ในธุรกิจทีวีระบบอนาล็อกหรือฟรีทีวีที่กำลังค่อย ๆ ลดสัดส่วนลง คาดว่างบโฆษณาจากฟรีทีวีจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นดิจิตอลทีวีในที่สุด ในขณะที่งบโฆษณาในสื่อหนังสือพิมพ์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 9% ของงบโฆษณาทั้งหมดนั้นลดลง 3% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2558 ทั้งนี้ การเพิ่มความนิยมในสื่อออนไลน์ส่งผลให้มูลค่ารวมของการโฆษณาผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ไม่มีการเติบโตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ในปี 2557 บริษัทมีรายได้รวม 2,828 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งสอดคล้องกับภาวะของอุตสาหกรรม โดยรายได้จากธุรกิจหนังสือพิมพ์ลดลง 18% มาอยู่ที่ 1,386 ล้านบาทซึ่งแสดงให้เห็นภาวะที่ใกล้ถึงจุดอิ่มตัว ในขณะที่รายได้จากธุรกิจสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพเพิ่มขึ้น 37% มาอยู่ที่ 1,031 ล้านบาทจากผลการดำเนินงานของธุรกิจดิจิตอลทีวีที่เริ่มในช่วงปลายเดือนเมษายน 2557 สำหรับครึ่งแรกของปี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 1,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยธุรกิจสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพมีรายได้เพิ่มขึ้น 50% เป็น 577 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 385 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากธุรกิจหนังสือพิมพ์ลดลง 4% จากปีก่อน โดยอยู่ที่ 649 ล้านบาท

อัตราการทำกำไรของบริษัทได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รายได้จากธุรกิจหนังสือพิมพ์ที่ลดลง และการดำเนินธุรกิจดิจิตอลทีวีในระยะแรกที่มีอุปสรรคอันเนื่องมาจากกฎระเบียบที่ยังไม่นิ่งและการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้อัตราการทำกำไรของบริษัทอ่อนตัวลงจาก 17.9% ในปี 2557 มาอยู่ที่ 13.9% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558

โครงสร้างเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับดี ทริสเรทติ้งพิจารณาภาระผูกพันของบริษัทที่จะต้องชำระค่าใบอนุญาตประกอบการดิจิตอลทีวีเป็นภาระหนี้สุทธิจากเงินสดในมือ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 29.9% จาก 38.1% ณ สิ้นปี 2557 โดยโครงสร้างเงินทุนที่ดีขึ้นได้รับแรงหนุนบางส่วนจากฐานทุนที่เพิ่มขึ้นจากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 28.4% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูล 12 เดือนย้อนหลัง) ในขณะที่มีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 8.3 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2558

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตเฉลี่ยอย่างน้อย 8%-10% ต่อปีในระหว่างปี 2558-2561 ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัทจะสามารถพัฒนา หรือจัดหารายการทีวีที่เพิ่มฐานผู้ชมและสร้างรายได้จากโฆษณาในธุรกิจดิจิตอลทีวีได้ เมื่อพิจารณาถึงการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจดิจิตอลทีวีและภาวะชะลอตัวของธุรกิจหนังสือพิมพ์แล้ว

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราการทำกำไรของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 15%-18% ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นรายได้ของบริษัทน่าจะเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าต้นทุน ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นในระดับที่สูงกว่า 20% ซึ่งจะทำให้บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 550-900 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2558-2561 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน1,169 ล้านบาท

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าเงินทุนจากการดำเนินงานและสภาพคล่องที่สำรองเอาไว้นั้นจะมีเพียงพอที่จะรองรับแผนการลงทุนและภาระหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระของบริษัท โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนรวมประมาณ 150-250 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อใช้สำหรับธุรกิจดิจิตอลทีวีเป็นหลักและมีค่าใบอนุญาตที่บริษัทจะต้องชำระรวม 1,884 ล้านบาทในช่วงปี 2559-2561 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะ 12-24 เดือนข้างหน้า ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนน่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 30%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ