นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย JWD เปิดเผยว่า หลังจากได้สำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีช่วงราคาเสนอขายที่ 10.6-11.0 บาทต่อหุ้น พบว่ามีนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 11 บาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินงานของ JWD จึงกำหนดราคาขายหุ้น IPO ในราคาหุ้นละ 11 บาท ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 21-23 ก.ย.นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 29 ก.ย.58
JWD จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเป็น ขายให้นักลงทุนรายย่อย 55% และอีก 45% เสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบบัน
ในวันนี้ JWD ได้จัดพิธีลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของบริษัทฯ รวมทั้งแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 3 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัดและบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด
"ถึงแม้ตลาดจะมีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่เรายังมีความมั่นใจที่จะเข้าซื้อขายใน SET วันที่ 29 ก.ย.นี้ เพราะเรามั่นใจในพื้นฐานของบริษัทฯ และธุรกิจขนส่งยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของราคาหุ้นเราก็ไม่ได้คิดขึ้นมาเอง ซึ่งเราสำรวจความต้องการซื้อจากสถาบันซึ่งมีความต้องการเกินกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขายให้กับสถาบันถึง 22 เท่า"นายแมนพงศ์ กล่าว
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า บริษัทฯมั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 17.4% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,200 ล้านบาท หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯมีการเติบโตแล้ว 18% โดยธุรกิจที่มีทั้งหมดคือ 1.ธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าบนพื้นที่ทั่วไปและพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Zone) 2. ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าในประเทศและขนส่งสินค้าข้ามแดน 3.ธุรกิจให้บริการขนย้ายในประเทศและต่างประเทศ 4.ธุรกิจให้บริการรับฝากบริการจัดการเอกสารและข้อมูลอย่างครบวงจร 5.ธุรกิจอื่นๆได้แก่ธุรกิจให้เช่าอาคาร-คลังสินค้าและธุรกิจให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจการขนส่งสินค้าและรับฝากสินค้าไปในอีก 4 ประเทศ คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 4/59 และจะมีการลงทุนไปพร้อมๆกันทั้ง 4 ประเทศ จากปัจจุบันบริษัทฯได้มีการลงทุนคลังสินค้าไปแล้วในประเทศ กัมพูชา พม่า และลาว ที่จะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2/59 โดยบริษัทฯตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศในอีก 3-5 ปีอยู่ที่ 25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 8-10%
ในขณะเดียวกันบริษัทฯยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อลงทุนธุรกิจอีคอมเมิร์ส (e-Commerce) โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 4/58 และจะเริ่มลงทุนในช่วงครึ่งแรกปี 59 และจะเริ่มเห็นรายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังทันที โดยคาดว่าในปี 59 จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ราว 5%
นอกจากนี้จากที่ภาครัฐฯจะมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ บริษัทฯมีความสนใจไปซื้อที่ดินเพื่อสร้างคลังสินค้าในการให้บริการขนส่งแก่ลูกค้า โดยพิจารณาอยู่ที่ แม่สอด และ กาญจนบุรี โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าว่าจะมีการขยายไปในรูปแบบใดเพื่อที่จะมีการขยายตลาดไปตามลูกค้าของบริษัทฯ
บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์ในอาเซียน โดยปีนี้จะใช้งบฯ ลงทุนรวมกว่า 500 ล้านบาท ขยายพื้นที่รับฝากสินค้าและจัดซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างคลังสินค้าทั่วไปและคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็งในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา มีพื้นที่รวม 6,490 ตารางเมตร รองรับธุรกิจค้าปลีกด้านอาหารที่กำลังขยายตัวในภูมิภาคนี้ คาดว่าโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/59
ส่วนการลงทุนในประเทศไทย ได้ปรับปรุงพื้นที่คลังสินค้าภายในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นศูนย์เก็บและกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ ขนาดพื้นที่ 9,000 ตารางเมตร คาดว่าจะให้บริการได้ในไตรมาส 1/59 และศูนย์กระจายสินค้าอันตรายในประเทศ 1 อาคาร มีพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร จะเริ่มให้บริการได้ในไตรมาส 1/59 นอกจากนี้ยังได้ลงทุนซื้อเครนขาสูง 4 คัน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการจัดเรียงตู้คอนเทนเนอร์สินค้าอันตรายสูงขึ้นเป็น 4-5 ชั้น ซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญการให้บริการลูกค้าที่มีลักษณะธุรกิจซับซ้อนกว่าปกติ เช่น การรับฝากเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย ยานยนต์และส่วนประกอบน สินค้าแช่เย็นและแช่แข็งที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่ได้รับสัมปทานการให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังเป็นระยะเวลา 30 ปี (ต.ค.2546-ต.ค.2576) ทำให้สินค้าอันตรายที่ผ่านเข้า-ออกท่าเรือแหลมฉบัง จะต้องผ่านคลังสินค้าอันตรายของบริษัทฯ เท่านั้น
“เราพร้อมที่จะขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ โดยจะขยายการลงทุนก่อสร้างคลังเก็บสินค้าในไทยและอาเซียนไปพร้อมกัน ซึ่งบริษัทฯ จะใช้ความเชี่ยวชาญจากการดำเนินธุรกิจมากว่า 35 ปี ผนวกเข้ากับการใช้ซอฟท์แวร์การบริหารจัดการคลังสินค้าและโลจิสติกส์เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อขยายธุรกิจสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต" นายชวนินทร์ กล่าว