พร้อมกันนี้บริษัทมองว่าธุรกิจที่มีการใช้สื่อโฆษณามากที่สุดคือ กลุ่มคอนซูเมอร์โปรดักส์ ที่มีการลงทุนมหาศาล ซึ่งจะใช้สื่อโฆษณาบนโทรทัศน์เป็นหลัก เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายทั่วประเทศ ขณะที่สื่อโฆษณานอกบ้านจะจัดอยู่ในประเภทสื่อรองลงมา โดยสัดส่วนการโฆษณาของคอนซูเมอร์โปรดักส์บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส จะอยู่ประมาณ 47% และที่เหลือจะเป็นการโฆษณา เช่น โทรศัพท์มือถือ ประกันชีวิต รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ
สำหรับผลประกอบการในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายกำไรสุทธิงวดปีบัญชี 58/59 (1 เม.ย.58- 31 มี.ค.59) จะมากกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 837.58 ล้านบาท เป็นไปตามรายได้สื่อโฆษณาบนพื้นที่รถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งมีการขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีอัตรากำไรสูงสุดในกลุ่มสื่อโฆษณาทั้งหมดของบริษัท และมีสัดส่วนรายได้ถึง 65% รวมถึงบริษัทได้ยกเลิกสัญญาการรับสิทธิในการบริหารและจัดการพื้นที่โฆษณาในโมเดิร์นเทรด เนื่องจากการบริหารจัดการพื้นที่โฆษณาในโมเดิร์นเทรดมีอัตราการทำกำไรต่ำ แต่การยกเลิกสิทธิดังกล่าวจะทำให้รายได้ของบริษัทในปีนี้น่าจะทำได้ราว 2.2 พันล้านบาท ต่ำกว่าระดับ 3,077.93 ล้านบาทในปีก่อน "สัดส่วนรายได้ของเราปัจจุบันจะมาจากสื่อบนบีทีเอสเป็นหลัก 65% office building 20% และที่เหลือจะเป็นการลงทุนอื่นๆ จากเดิมมีสัดส่วนรายได้มาจากสื่อบนบีทีเอสราว 55% โมเดิร์นเทรด 40% และที่เหลือเป็น office building โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ตัดสัดส่วนของโมเดิร์นเทรดออกไป หลังธุรกิจดังกล่าวไม่สร้างผลกำไร ขณะที่บริษัทก็หันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาสื่อบนออนไลน์ ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต"นายมารุต กล่าว
นายมารุต กล่าวว่า การพัฒนาสื่อโฆษณาบนออนไลน์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในงวดปีบัญชี 59/60 ซึ่งบริษัทมองว่าในอนาคตระบบการใช้ตั๋วร่วมจะมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น โดยเป้าหมายภายในสิ้นปี 59 ตามแผนงานจะมีการใช้ระบบตั๋วร่วมครอบคลุมทั้ง รถไฟฟ้าบีทีเอส, รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที, รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์,มอเตอร์เวย์, ทางด่วน, รถโดยสารขององค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะทำให้กลุ่มเป้าหมายของการใช้บัตรแรบบิท (rabbit) ชัดเจนขึ้น ทำให้การโฆษณาบนสื่อออนไลน์ที่จะเข้าไปยังกลุ่มลูกค้าต่างๆจะสามารถเติบโตได้ และเชื่อว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีนัยสำคัญให้กับบริษัท
ขณะเดียวกัน VGI ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อช่วงบ่ายว่า บริษัทได้ขายหุ้นของบริษัท ไมดาส โกลบอล มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมและประกอบธุรกิจด้านการขาย การตลาด และการจัดหาพื้นที่สื่อโฆษณา จำนวน 1,937,500 หุ้น และสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในไมดาสฯ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในไมดาสฯ ลดลงเป็น 18.53% จากเดิม 30%