ทั้งนี้ รายได้จากธูรกิจโซลาร์ฟาร์มในปี 59 มาจากการคาดการณ์ว่าจะได้งานโครงการโซลาร์ฟาร์ม 20 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (MOU) กับกองทัพบกแล้ว 8 เมกะวัตต์ ส่วนอีก 12 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างเจรจากับสหกรณ์การเกษตรหลายราย เช่น ในภาคกลาง ตะวันตก ซึ่งในส่วนนี้ถ้าก่อสร้างเสร็จคาดว่าจะมีรายได้จากงานก่อสร้างเข้ามาประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2/59 เป็นต้นไป ส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้านั้นคาดว่าจะเริ่มเข้ามาในราวปลายไตรมาส 3/59 เป็นต้นไป หรือราวปีละ 160 ล้านบาท ซึ่งในปี 59 อาจรับรู้เพียง 40 ล้านบาท
ขณะที่ปี 59 บริษัทตั้งเป้าหมายมีสัดส่วนส่งออกเพิ่มเป็น 12-15% จาก 10% ในปีนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยงหากภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอหรืองานภาครัฐมีน้อย โดยตลาดหลักยังเป็นกลุ่มอาเซียน ซึ่งบริษัทจะเข้าร่วมประมูลงานของการไฟฟ้าในประเทศบรูไนและมาเลเซีย โดยขณะนี้มีดีลเลอร์อยู่ในประเทศนั้นๆอยู่แล้ว ประกอบกับปีหน้าจะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ก็เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์มากขึ้นด้วย
สำหรับอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าในไทยปกติเติบโตปีละ 10% แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลในปีนี้ ทำให้คาดว่ามูลค่าตลาดรวมของหม้อแปลงไฟฟ้าจะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท โดยบริษัทยังครองตลาดอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 20-25%
นายดนุชา กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ารายได้รวมน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 2,075 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ(backlog) ราว 700 ล้านบาท ที่จะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 600 ล้านบาท ส่วนอีก 100 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 59 ขณะที่ช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคาดว่าจะสามารถขายหม้อแปลงให้กับผู้ผลิตโซลาร์ฟาร์มกลุ่มค้างท่อที่ต้องใช้หม้อแปลงอีกกว่า 1,000 ลูก โดยบริษัทคาดว่าจะได้งานส่วนนี้ประมาณ 30-40% ก็จะส่งผลให้ปริมาณงานในมือเพิ่มขึ้น และงานส่วนนี้จะต้องเร่งส่งมอบให้หมดภายในสิ้นปีนี้
แต่ในส่วนของกำไรสุทธิปีนี้คาดว่าน่าจะทำได้ต่ำกว่าปีก่อนที่กว่า 100 ล้านบาท เนื่องจากครึ่งแรกปีนี้ทำกำไรได้เพียงกว่า 6 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 0.75% ต่ำกว่าระดับอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยปี 57 ที่ระดับ 5% โดยครึ่งหลังปีนี้คาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะสูงขึ้นจากการส่งมอบงานโครงการขนาดใหญ่ งานภาครัฐ และงานโครงการโซลาร์ฟาร์มค้างท่อ ซึ่งมีมาร์จินสูง ซึ่งก็จะทำให้อัตรากำไรสุทธิทั้งปีขยับสูงขึ้นไปเฉลี่ยที่ 3-4% ได้ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าทั้งปีก่อน
"ปีนี้รายได้จากการขายหม้อแปลงไฟฟ้าน่าจะทรงตัวใกล้เคียงปีก่อนที่ 2,000 ล้านบาท ที่ไม่โตเพราะเศรษฐกิจแย่มาก งานภาครัฐไม่ออก แต่ของเราก็ถือว่าดีแล้ว โดยครึ่งแรกมีรายได้เพียง 800 กว่าล้านบาท แต่เชื่อว่าครึ่งหลังจะส่งมอบงานได้มากกว่าครึ่งแรกโดยเฉพาะไตรมาส 3- 4 ได้งานขายหม้อแปลงไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ฟาร์มค้างท่อจะเร่งสั่งซื้อหม้อแปลงซึ่งต้องทำให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ ดังนั้น backlog 700 ล้านบาท บวกกับงานโซลาร์ฟาร์มค้างท่อ ก็จะทำให้รายได้ตามเป้าแน่นอน"
นายดนุชา กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมยื่นประมูลงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)มูลค่าราว 1,500 ล้านบาท ปกติจะได้งาน 10-15% โดยเบื้องต้นคาดเปิดประมูลปลายเดือนก.ย.58 แต่ก็ขึ้นอยู่กับหน่วยงานดังกล่าวด้วยว่าอาจเลื่อนเป็นต้นปีหน้าหรือไม่
นอกจากนั้น บริษัทเปิดกว้างเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจต่างประเทศที่สนใจเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจผลิตแผงโซลาร์เซลล์กับบริษัท เอกรัฐโซลาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกด้วย