เช้านี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ปลดเครื่องหมาย SP หุ้นบมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี(SSI) ตั้งแต่การซื้อขายรอบเช้าวันนี้ หลังจากที่ได้พักการซื้อขายเมื่อวานนี้ ขณะที่บริษัทได้แจ้งสารสนเทศสำคัญมายังตลาดหลักทรัพย์ฯเรียบร้อยแล้ว
SSI ได้แจ้งเรื่องการผิดนัดชำระหนี้และสารสนเทศเกี่ยวกับการผิดชำระหนี้ของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้รายใหญ่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างทางการเงินและการบริหารจัดการหนี้ ซึ่งคาดว่าจะแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการหารือและรายละเอียดเรื่องดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯได้ภายในเดือนก.ย.นี้
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า SSI แจ้งหยุดผลิตเหล็กแท่งแบน (slab) ของโรงถลุงเหล็ก SSI UK (SSI ถือ 100%) ชั่วคราวเพื่อปรับปรุงฐานะการเงิน ทั้งนี้ SSI ซื้อโรงถลุงดังกล่าวมาตั้งแต่ ส.ค. 2010 จากบริษัทในกลุ่ม Tata Steel แต่ขาดทุนมาตลอดเพราะราคาเหล็กตกต่ำ ล่าสุดงวด 1H15 SSI UK ขาดทุนถึง 5 พันล้านบาท ส่วน SSI ขาดทุน 1 พันล้านบาท ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของ SSI (ในงบการเงินรวม) ติดลบเป็นครั้งแรก 1.8 พันล้านบาท (Book value -0.06 บาท/หุ้น)
ทางเราคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงและเป็นการดีกว่าที่ SSI UK จะหยุดดำเนินการถาวรและ SSI ขายสินทรัพย์นี้ออกไปเพราะเหล็กยังอยู่ในภาวะ oversupply อย่างน้อย 2 ปี การตัดขายสินทรัพย์เป็นการปลดภาระแต่ไม่ได้ทำให้ SSI จะพลิกกลับมากำไรในเร็ววัน ก่อนหน้านี้แนะนำ"ขาย" SSI อยู่แล้ว และคิดว่ายังไม่น่าเสี่ยงซื้อนขณะนี้
ผลกระทบจาก SSI ปัจจุบัน SSI ถูกจัดชั้นเป็น NPL แล้ว หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารทั้ง 3 แห่งที่ปล่อยสินเชื่อคือ TISCO 4.4 พันล้านบาท KTB และ SCB แห่งละประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จะตั้งสำรองเต็มจำนวนและไม่ประเมินหลักประกัน เราคาดว่ากำไรใน 3Q15 ของ TISCO และ KTB จะถูกกระทบมากที่สุดราว 70% Q-Q และส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิปี 2015 ราว 20%
ส่วน SCB กระทบน้อยสุดเพราะมีกำไรจากการขายเงินลงทุนบางส่วนมาชดเชย ทำให้จะกระทบกำไรสุทธิปีนี้เพียง 5% ส่วน NPL ของแต่ละธนาคารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.2% โดย TISCO เพิ่มขึ้นมากสุด 1.6% ส่วน SCB และ KTB ไม่ถึง 1% ขณะที่ Coverage ratio ของ TISCO จะเหลือน้อยสุด 82% ส่วน SCB ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใน 110% และ KTB 105% ซึ่งทุกธนาคารจะทยอยตั้งสำรองหนี้สูญส่วนเกินในปีหน้า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่มีธนาคารใดต้องเพิ่มทุน เพราะกระทบเงินกองทุนเฉลี่ยเพียง 0.5%