บลจ.ไทยพาณิชย์ คาด AUM ปีนี้โต 3-4% จากปีก่อน 1.09 ล้านลบ.ตามไพรเวทฟันด์

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 22, 2015 15:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทคาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร(AUM)ในปี 58 จะเติบโตราว 3-4% จากสิ้นปี 57 มี AUM อยู่ที่ 1.09 ล้านล้านบาท และปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund)และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(Provident Fund) ขณะที่กองทุนประเภทเทอมฟันด์ที่ผ่านมาได้รับความสนใจน้อยลง เนื่องจากผลตอบแทนของการลงทุนไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนในรูปแบบอื่น หลังจากอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันบริษัทออกกองทุนใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 99 กองทุน แบ่งเป็น กองทุนทริกเกอร์ฟันด์ 6 กองทุน, กองทุน FIF 3 กองทุน และกองทุนหุ้น Small cap 1 กองทุน ที่เหลือจะเป็นกองทุนเทอมฟันด์

ล่าสุดบริษัทฯเตรียมเสนอขายกองทุนต่างประเทศจำนวน 2 กองทุน คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ อิควิตี้ (SCBGIF) และกอองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (SCBRMGIF) มูลค่ากองทุนละ 5,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ซึ่งจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ Deutsche Invest I Global Infrastructure: Share Class FC EUR ในสกุลเงินยูโร เฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 29 ก.ย. - 5 ต.ค.58

สำหรับจุดเด่นของกองทุน Deutsche Invest I Global Infrastructure คือเป็นกองทุนที่มีการบริหารการลงทุนแบบ Active มีการลงทุนในหลักทรัพย์ของผู้ประกอบธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกอย่างน้อย 70% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน ประเภทหลักทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่กองทุนหลักลงทุนจะอยู่ในกลุ่มบริษัทที่มีรายได้หลักจากโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียว เช่น การขนส่ง ได้แก่ ทางด่วน ท่าเรือ สนามบิน อุโมงค์ สะพาน และทางรถไฟขนส่งสินค้า ,

สาธารณูปโภค ได้แก่ เครือข่ายนำส่งก๊าซ เครือข่ายการไฟฟ้า การประปา และระบบบำบัดน้ำเสีย ,พลังงาน ได้แก่ พลังงานทั่วไป พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานชีวภาพ รวมไปถึงคลังสินค้า ลานจอดรถ โทรคมนาคม เป็นต้น โดยลักษณะของโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการให้บริการที่จำเป็น มีอายุยาวถาวร และมีรายได้ที่มั่นคงสม่ำเสมอในระยะยาว

ผลการดำเนินงานของกองทุนดังกล่าวที่ผ่านมามีความโดดเด่นและสามารถชนะดัชนีอ้างอิง Dow Jones Brookfield Infrastructure ได้อย่างต่อเนื่อง โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 17.9% ต่อปี (USD) ซึ่งบริษัทฯตั้งเป้าหมายผลตอบแทนของการลงทุนในปีนี้น่าจะทำได้ 8-10% เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่มองว่าควรลงทุนในระยะยาวอย่างน้อย 1 ปี เชื่อว่าจะมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น

"กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ทั้ง 2 กองทุนข้างต้น ถือเป็นทางเลือกการลงทุนสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากกองทุนหลักลงทุนในหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก และเน้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่เป็นบริการที่จำเป็น อย่างระบบสาธารณูปโภค หรือพลังงาน ซึ่งจะเกิดผู้แข่งขันรายใหม่ได้ยาก จากมีข้อจำกัดหลายด้าน จึงทำให้ทรัพย์สินประเภทโครงสร้างพื้นฐานมีรายได้ที่มั่นคงและสม่ำเสมอในระยะยาว"นายสมิทธ์ กล่าว

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับภาพของการลงทุนในตลาดโลก ที่ผ่านมาถือว่ามีความผันผวนอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงแรง ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยพอสมควร ซึ่งมองว่าการปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะเป็นผลจากทางจิตวิทยา และเป็นการปรับตัวลงตามฤดูกาล โดยในช่วงที่เหลือของปีความผันผวนน่าจะลดลง

ขณะเดียวกันเชื่อว่าในไตรมาส 4/58 จะเกิด positive surprise จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้น ,การดำเนินนโยบายภาครัฐ ในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนของผู้มีรายได้น้อย และ Global Market รวมไปถึงการคลายความกังวลในเรื่องของเฟด หลังเฟดได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบกับเงินบาทที่ไม่น่าจะปรับตัวอ่อนค่าไปมากกว่านี้แล้ว คาดว่าเงินบาท ณ สิ้นปี 58 จะอยู่ที่ 36-37 บาท/ดอลลาร์

มองดัชนีปีนี้จะอยู่ที่ 1,500 จุด แนะนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นที่มีราคาอยู่ในระดับต่ำ เพื่อรอจังหวะการฟื้นตัว มองหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน,หุ้นที่ได้รับอานิสงค์จากภาครัฐ เช่น อสังหาริมทรัพย์ อุปโภค บริโภค และ Global Market


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ