แต่ยืนยันว่าทั้งปีนี้บริษัทจะยังคงทำกำไรสุทธิได้ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปีนี้ได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่จ่ายระดับ 7.50 บาท/หุ้น ตามแนวโน้มผลประกอบการที่จะดีขึ้น
"ปกติผลประกอบการในไตรมาส 3 จะต่ำที่สุดเพราะเป็นช่วง Low Season สิงหาคมฝนตกลงมามาก ถนนเสียหายมาก ปิโตรเคมีราคาปรับลงรามราคาน้ำมันที่ลงไปมาก และก็มี Stock Loss จากไตรมาส 2 ที่เรามี Stock Gain กว่า 900 ล้านบาท"นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/58 จะดีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ยังรอดูผลจากมาตรการดังกล่าว ก่อนที่จะทบทวนคาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ระดับ 3%
ขณะที่ในส่วนกำไรสุทธิปีนี้ยืนยันว่าจะทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ เพราะมีการลงทุนด้านนวัตกรรมใหม่ ทำให้ผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง(HVA)ที่มีมาร์จิ้นสูง โดยในช่วงครึ่งแรกปีนี้บริษัทมีสินค้า HVA สัดส่วน 37% สูงขึ้นจาก 35% ในปีที่แล้ว แต่คาดว่าสิ้นปี 58 สัดส่วน HVA อาจยังทำได้ไม่ถึงเป้าหมายที่ 40% ขณะเดียวกันบริษัทยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ อีกทั้งสเปรดปิโตรเคมียังอยู่ในระดับที่ดี
นอกจากนี้ยอดขายในอาเซียนดีขึ้นทุกแห่งยกเว้นประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่ยอดขายในประเทศปีนี้มีสัดส่วน 60% จากปีก่อนมีสัดส่วน 62-63% แต่ในส่วนของรายได้ของบริษัทยังคงเป้าหมายที่ 4.87 แสนล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน โดยในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้รายได้ลดลง 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากราคาขายปิโตรเคมีลดลงไป 30% ขณะที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 7-8%
นายกานต์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการด้านนวัตกรรมในญี่ปุ่นมากกว่า 2 รายที่มีสินค้าเกี่ยวข้องกับวัสดุก่อสร้างและเม็ดพลาสติกโพลีเมอร์ ซึ่งเป็นบริษัทขนาดกลางถึงเล็ก(เอสเอ็มอี) แต่มีงบประมาณด้านงานวิจัยและพัฒนา(R&D)ในสัดส่วน 10-15% ของยอดขาย โดยหากบริษัทดังกล่าวไม่ต้องการให้บริษัทเข้าไปซื้อหุ้นทั้ง 100% ก็อาจจะเจรจาขอซื้อหุ้นเพียง 40% คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีหน้า
พร้อมกันนี้ก็ยังเจรจาเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและมีผลิตภัณฑ์เป็นของตนเองในแถบประเทศยุโรปด้วย จากที่ปัจจุบันมีฐานบริษัทวิจัยและพัฒนาที่นอร์เวย์อยู่แล้ว และในอนาคตมีแผนจะดึงบริษัทที่เข้าไปซื้อกิจการด้านนวัตกรรมในต่างประเทศนั้น เข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งอาจจะไปจัดตั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ โดยจะทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนด้านนวัตกรรมจากภาครัฐ
ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 59-63) ไว้ที่ระดับ 2.5 แสนล้านบาท โดยไม่นับรวมการลงทุนซื้อกิจการ
ล่าสุด ปิดตลาดราคาหุ้น SCC พลิกจากลบในช่วงเช้ามาเป็นบวก 0.85% มาอยู่ที่ 476 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 8,462.52 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 470 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 476 บาท และราคาลงต่ำสุด 452 บาท