ทั้งนี้ จากที่คณะรัฐมนตรีนำโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ(PPP) โดยรัฐมีนโยบายเร่งรัดโครงการก่อสร้าง ภายในสิ้นปี 58 จำนวน 5 โครงการโครงสร้างพื้นฐานวงเงินรวม 200,379 ล้านบาท ที่จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีชมพู วงเงิน 56,725 ล้านบาท สายสีเหลือง 54,768 ล้านบาท ส่วนต่อขยายสาย สีน้ำเงิน 82,494 ล้านบาท โรงไฟฟ้าขยะที่นนทบุรี 4,142 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าขยะโคราช 2,250 ล้านบาท
โดยทั้ง 5 โครงการนี้จะดำเนินการตามพ.ร.บ.ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ และจะผลักดันโครงการเมกะโปรเจค ด้านระบบราง ทางบก และทางอากาศอีก 19 โครงการ มูลค่ากว่า 1.77 ล้านล้านบาท
"ช.การช่างมีความพร้อมอย่างเต็มที่ ที่จะเข้าประมูลโครงการเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน หรือรูปแบบการประมูลงานทั่วไป โดยขณะนี้ CK มีประการณ์และความพร้อมในด้านบุคคลากร เงินทุน อย่างเต็มที่"นายปลิว กล่าว
นายปลิว กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท และบริษัทในกลุ่มเพราะโครงการสำคัญ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ขณะนี้รถไฟฟ้า 3 ขบวนแรก ที่จัดซื้อจากบริษัท J-TREC ประเทศญี่ปุ่น ได้มาถึงประเทศไทยแล้ว และจะทยอยมาถึงจนครบ 21 ขบวน ในปลายปีนี้ ก่อนเริ่มทดสอบและเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ ในเดือนส.ค.59
นอกจากนี้โครงการทางด่วนศรีรัช วงแหวนรอบนอกซึ่งเป็นทางด่วนสายใหม่ เชื่อมต่อระหว่างด้านตะวันออกและตะวันตกของกรุงเทพมหานคร มีความก้าวหน้ากว่า 70% โดยเชื่อมั่นว่าจะเปิดให้บริการได้ในกลางปี 59 ทั้งสองโครงการนี้สามารถแล้วเสร็จก่อนกำหนด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวมเป็นอย่างมาก ในส่วนนี้เป็นความภาคภูมิใจของ CK ที่สามารถใช้ศักยภาพของ CK และบริษัทในกลุ่มคือ BMCL และ BECL ร่วมกันผลักดันโครงการต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้
"สำหรับนโยบายของภาครัฐ CK มั่นใจว่า รัฐบาลจะผลักดันโครงการต่างๆ เหล่านี้ออกมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นงานระบบราง เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ โครงการรถไฟทางคู่งานถนน เช่น โครงการทางหลวงมอเตอร์เวย์และงานทางอากาศ เช่น สนามบินล้วนเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์และกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมาก โดยเชื่อว่าผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพดำเนินการได้ ในส่วนของ CK ได้เตรียมการร่วมกับ BMCL และ BECL มีความพร้อมเต็มที่ โดยเชื่อว่ารัฐบาลจะเร่งผลักดันโครงการเหล่านี้ออกมาได้ภายในสิ้นปีนี้ถึงต้นปีหน้า"นายปลิว กล่าว
นายปลิว กล่าวอีกว่า สำหรับการควบรวมระหว่าง BECL กับ BMCL มีความก้าวหน้าเป็นอย่างดี ขณะนี้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการกำกับตามพ.ร.บ.ร่วมลงทุน ได้อนุมัติเห็นชอบในเรื่องดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนออัยการพิจารณาร่างสัญญาเปลี่ยนชื่อคู่สัญญา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการโอนสัมปทานไปยังบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบ คือ BEM ในส่วนของบริษัทได้เตรียมการส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่ากระบวนการต่างๆน่าจะแล้วเสร็จในเดือนต.ค.นี้
ภายหลังการควบรวม BEM ที่จะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง ผสานศักยภาพของ CK,BECL และ BMCL อย่างครบวงจร สามารถดำเนินงานตามสัญญาสัมปทานทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ และจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการลงทุน เพื่อจะแข่งขันกับบริษัทอื่นๆได้เมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปลายปี 58 นี้ ทำให้มั่นใจว่าปี 59 จะเป็นปีทองของ BEM เพราะจะมีการเปิดให้บริการของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ และการเปิดทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวน ก่อนกำหนด ซึ่งจะทำให้ BEM รับรู้รายได้อย่างก้าวกระโดด พร้อมก้าวเป็นบริษัทชั้นนำด้านคมนาคมขนส่งของประเทศไทยและในภูมิภาคต่อไป