ขณะนี้ได้เข้าไปศึกษาธุรกิจโซล่าร์ฟาร์มในอิตาลี ซึ่งเป็นบริษัทที่มีโครงการโซล่าร์ฟาร์มหลายแห่ง ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกันไม่ต่ำกว่า 20 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปการเข้าลงทุนต้นปี 59 เพื่อนำเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณา ก่อนจะเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นต่อไป ส่วนการศึกษาลงทุนในประเทศอื่น ๆ ของยุโรปคาดว่าอีก 3 แห่งจะได้ข้อสรุปภายในปี 59
สำหรับเงินลงทุนนั้นบริษัทคาดว่าจะออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศ อาจจะเป็นสกุลเหรียญสหรัฐ หรือยูโร โดยจะเสนอขายในแถบประเทศยุโรป เพราะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าในประเทศ และไม่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน โดยวงเงินหุ้นกู้จะใกล้เคียงกับวงเงินที่จะใช้ซื้อกิจการ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ไม่ให้เกิน 3 เท่า จากปัจจุบันที่อยู่ระดับกว่า 2 เท่า
"ตอนนี้เราขยายเข้าสู่กรีนเอ็นเนอร์ยี่ จากเดิมที่เราขายถ่านหิน ตอนนี้ก็มีการศึกษาอยู่ เร็วๆนี้ก็น่าจะจบ โรงไฟฟ้าในยุโรปที่อยู่ในเป้าหมายเราก็มีที่อิตาลี , มิวนิค, โรมาเนีย ,ไอร์แลนด์ แต่ละที่ก็มีแต่ละเจ้าของ เราจะเลือกลงทุนที่ operate แล้ว และมี PPA กับภาครัฐอย่างต่ำ 20 ปี IRR บวกลบ 10% เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ถือหุ้น ถ้าเราเข้าซื้อโรงไฟฟ้าได้เราก็จะรับรู้รายได้ทันที ตอนนี้เราได้ข้อมูลเข้ามาเยอะแล้ว คิดว่าอิตาลีน่าจะได้ข้อสรุปก่อนในช่วงต้นปี 59"นายขจรพศ์ กล่าว
นายขจรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมตัวที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ที่ระยะแรกจะเปิดจำนวน 600 เมกะวัตต์ ในช่วงปลายปีนี้ด้วย
ส่วนธุรกิจจัดจำหน่ายถ่านหินนั้น นายขจรพงศ์ กล่าวว่า ในปีนี้ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีปริมาณขายราว 10 ล้านตัน จาก 8.3-8.4 ล้านตันในปีที่ 57 โดยช่วงครึ่งปีแรกขายได้แล้ว 4.3 ล้านตัน ทำให้คาดว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตมาที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จาก 1.4 หมื่นล้านบาทในปีก่อน ขณะที่กำไรน่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน โดยจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 15%
ทั้งนี้ มองว่าราคาถ่านหินในปีนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ที่ 50-51 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยราคาขายเฉลี่ยของบริษัทในปีนี้น่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 55-60 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีก่อนที่ 60 เหรียญสหรัฐ/ตัน