"จำนวนหุ้นที่เสนอขายลดลง เพราะว่าเป็นไปตามภาวะตลาดที่ไม่ค่อยดีนักในช่วงนี้ จะเห็นได้จากวอลุ่มเทรดที่ลดลง เราเลยมีการจัดสรรหุ้นเสนอขายใหม่ โดยตัดหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมออกในจำนวน 30 ล้านหุ้น เพื่อให้ตรงกับความต้องการที่เหมาะสม"นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของออริจิ้นฯ กล่าว
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า สำหรับหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมที่ถอนการเสนอขาย IPO ครั้งนี้ เป็นหุ้นที่จะไม่อยู่ในเกณฑ์ห้ามการขายหุ้น (ไซเรนต์พีเรียด) ขณะที่หลังหุ้นบริษัทเข้าจดทะเบียนใน SET แล้วสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่จะอยู่ที่ 75%
ก่อนหน้านี้ ออริจิ้นฯ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 180 ล้านหุ้น โดยเป็นหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท 150 ล้านหุ้น และเสนอขายโดยนางอารดา จรูญเอก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นดิมอีกจำนวน 30 ล้านหุ้น โดยมีบล.กสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น ORI และมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นอีก 3 ราย ได้แก่ บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.คันทรี่ กรุ๊ป และบล.เคที ซีมิโก้
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า เม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 โครงการ, โครงการที่อยู่ระหว่าง Pre Sales 7 โครงการ และโครงการที่เตรียมเปิดตัวในอนาคต 5 โครงการ รวมถึงจะนำไปซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก จากปัจจุบันมีที่ดินที่พร้อมจะพัฒนาโครงการ มูลค่า 3,000-4,000 ล้านบาท โดยจะแบ่งเป็นเงินจำนวน 400-500 ล้านบาท ที่จะใช้ในการพัฒนาโครงการ ส่วนที่เหลือจะใช้ในการซื้อที่ดินที่อยู่ในบริเวณส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า
สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังมองว่าความต้องการที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมีการเติบโตสูงขึ้น เนื่องจากคอนโดมิเนียมถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากที่สุด ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายการเปิดโครงการใหม่ช่วงที่เหลือของปีนี้อีกประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด และในปี 59 ตั้งเป้าเปิดราว 6-7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8,500 ล้านบาท และอาจจะเห็นการเปิดโครงการผสมผสานในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ได้ในอนาคต
"การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างแบรนของ “ORIGIN" ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้นทั้งในกลุ่มของผู้ซื้อคอนโด และนักลงทุน รวมถึงเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจให้กับบริษัท และผู้ซื้อคอนโดฯในระยะยาว"นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ปีนี้จะเติบโตมากกว่าปีก่อน จากการทยอยรับรู้ยอดขายรอโอน (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่ 6,000 ล้านบาท จะรับรู้เป็นรายได้ช่วงสิ้นปีนี้ไปจนถึงปี 60 ขณะที่กำไรสุทธิในปีนี้ก็น่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด รวมถึงบริษัทจะรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ราว 20% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 40% จากสามารถควบคุมต้นทุนค่าซื้อที่ดินและค่าก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะสร้างรายได้ประจำ ด้วยการขยายธุรกิจไปสู่การให้บริการโรงแรม ซึ่งบริษัทมีที่ดินรองรับเรียบร้อยแล้ว บริเวณนิคมแหลมฉบังติดถนนสุขุมวิท มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างคัดเลือกผู้เข้ามารับหน้าที่บริหารโรงแรมดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นแบรนด์ชั้นนำเช่น Holiday Inn, Dusit Thani เป็นต้น คาดว่าน่าจะสรุปและเริ่มก่อสร้างได้ในปี 59 และใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปี ซึ่งจะสนับสนุนให้รายได้ประจำเติบโตเป็นระดับ 15% ใน 5-10 ปี จากนี้ อีกทั้งภายหลังจากการดำเนินการสร้างโรงแรมแล้วเสร็จและรับรู้รายได้เข้ามา บริษัทก็มีแผนจะนำโรงแรมดังกล่าวจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ต่อไป
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ทางบริษัทได้ดำเนินการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุน โดยมีช่วงราคาที่เสนอขาย 9.00 บาท/หุ้น พบว่านักลงทุนสถาบันให้ความสนใจโดยมียอด Bookbuild แสดงความต้องการสูงถึง 11เท่า ของจำนวนหุ้นที่จัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบัน
"ราคาหุ้น IPO มีส่วนลดประมาณ 28% เมื่อเทียบกับราคายุติธรรมจากบทวิเคราะห์หุ้นบริษัทฯ...มั่นใจว่าหุ้น IPO ของ ORI จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯที่มีความแข็งแกร่ง"นายแมนพงศ์ กล่าว
นายแมนพงศ์ กล่าวว่า ออริจิ้นฯ ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเป็นลักษณะคอนโดมิเนียมประเภท Low Rise และ High Rise ที่สามารถผสมผสานระหว่างการรับรู้รายได้ได้เร็ว และมีผลตอบแทนจากอัตรากำไรที่สูง
ปัจจุบันบริษัทฯมีโครงการทั้งหมด 27 โครงการ มูลค่ารวม 17,052 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 9 โครงการ มูลค่า 3,117 ล้านบาท , โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 โครงการ มูลค่า 3,610 ล้านบาท, โครงการที่อยู่ระหว่าง Pre Sales 7 โครงการ 6,955 ล้านบาท และ โครงการที่เตรียมเปิดตัวในอนาคต 5 โครงการ มูลค่า 3,370 ล้านบาท และปัจจุบันมียอดขายรอโอน(Backlog) ในมือกว่า 5,376 ล้านบาท