กองทุน LTF และ RMF ของ บลจ.กสิกรไทย มีความโดดเด่นในแง่ของการมีกองทุนให้เลือกหลากหลายพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนทุกรูปแบบ ทั้งในประเภททรัพย์สินที่ลงทุน ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนแต่ละกลุ่ม เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนเดียวหรือจัดพอร์ตโฟลิโอของตนเองได้ รวมถึงยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาอยู่ตลอดเวลาเพื่อเติมเต็มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้ครบครัน
นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำในธุรกิจจัดการกองทุนรวม ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดอันดับ 1 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 1.113 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 25 กันยายน 2558) ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการบริหารงานของบริษัท ทั้งนี้สำหรับผู้ลงทุนที่กำลังพิจารณาเลือกกองทุน LTF/RMF ในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ ทั้งผู้ลงทุนรายใหม่และผู้ลงทุนเดิมที่ต้องการลงทุนเพิ่มเติม บลจ.กสิกรไทยได้จัดเตรียมกองทุนที่มีอยู่หลากหลายนี้ โดยพร้อมนำเสนอกองทุนที่เหมาะสมให้กับผู้ลงทุน รวมถึงได้คัดเลือกกองทุนโดดเด่นที่สะท้อนความต้องการของผู้ลงทุน 3 รูปแบบ ตามระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป
สำหรับกองทุน RMF ของ บลจ.กสิกรไทย ปัจจุบันมีทั้งหมด 13 กองทุน โดยแบ่งตามลำดับความเสี่ยงตั้งแต่ระดับความเสี่ยงต่ำ ระดับปานกลาง ไปจนถึงระดับความเสี่ยงสูง และมีนโยบายการลงทุนหลากหลายรูปแบบ อาทิ ลงทุนในตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ลงทุนแบบผสม หรือลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในวัยเกษียณ ขณะที่กองทุน LTF ของบลจ.กสิกรไทย ปัจจุบันมีทั้งหมด 5 กองทุน ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทย โดยแต่ละกองทุนจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทั้งหมดเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวและสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับสูง
ด้านมุมมองการลงทุน ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวลงรวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีความผันผวนสูง การลงทุนในกองทุน LTF/RMF เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาว และเป็นการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคงในวัยเกษียณ ซึ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานลงมาอยู่ในระดับที่ไม่แพงนี้ มองว่าเป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าลงทุน เนื่องจากในระยะยาวตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีโอกาสปรับตัวได้ดีขึ้น โดยสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังมีอยู่ในระดับสูง จากการดำเนินมาตรการ QE ของธนาคารกลางใหญ่ๆ ของโลก อาทิ ธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่น จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่ตลาดหุ้นไทย บลจ.กสิกรไทยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 ที่ระดับ 1,400-1,450 จุด พร้อมคาดการณ์อัตราการเติบโตทางกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ในปี 2558 นี้ที่ประมาณ 17 % และในปี 2559 ที่ 14% (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ เดือน ส.ค 58)
ธนาคารในฐานะตัวแทนสนับสนุนการขายกองทุน LTF และ RMF ของบลจ.กสิกรไทย มองเห็นความสำคัญของการลงทุน จึงได้จัดเตรียมช่องทางการซื้อขายเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่สนใจชื้อกองทุน ด้วยจำนวนสาขากว่า 1,000 สาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมยังได้จัดเตรียมบริการให้คำแนะนำพิเศษเกี่ยวกับการลงทุนผ่านบริการ K-Expert ที่พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนแบบมืออาชีพ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือในกลุ่มบริษัทของธนาคารกสิกรไทยที่จะเสริมสร้างความรู้เรื่องการเงินและการลงทุนให้กับผู้ลงทุนแบบครบวงจร ครอบคลุมเครือข่ายสาขาของธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ
สำหรับกองทุน LTF/RMF 3 กองทุนโดดเด่นและมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจในช่วงนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อการเลี้ยงชีพ (KSFRMF) ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีความผันผวนน้อย และเป็นกองทุนที่จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงระดับต่ำ โดยกองทุน KSFRMF สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในปี 2558 จนขึ้นแท่นครองอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดเงิน กองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น เพื่อการเลี้ยงชีพ (KGARMF) ที่เน้นกระจายการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยกองทุนจะมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นกองทุนที่จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงระดับปานกลาง และกองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คหุ้นระยะยาวปันผล (K20SLTF) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย โดยกองทุนมีจุดเด่นที่เน้นการคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูงไม่เกิน 20 บริษัท และเป็นกองทุนที่จัดอยู่กลุ่มที่มีความเสี่ยงระดับสูง
นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทยยังมีความพร้อมในด้านบริการอื่นๆ อาทิ บริการลงทุนผ่านระบบ K-Cyber Invest หรือบริการลงทุนในกองทุนรวมทางอินเตอร์เน็ตกสิกรไทย ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงการลงทุนได้อย่างสะดวก รวดเร็วรวมถึงยังมีความปลอดภัยด้วย บริการ D.I.Y Target Fund ที่จะเป็นเครื่องมือช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดได้ด้วยตนเอง รวมถึงได้จัดให้มีบริการเสริม K-Saving Plan หรือบริการตัดบัญชีอัตโนมัติเพื่อลงทุนแบบสม่ำเสมอ โดยมีขั้นต่ำเพียงเดือนละ 500 บาท เพื่อให้ผู้ลงทุนทยอยลงทุนได้เป็นประจำทุกๆ เดือนอีกด้วย