อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการมีธุรกิจที่หลากหลายและความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานทั้งกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายของบริษัท การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความสม่ำเสมอของกระแสเงินสดจำนวนมากที่ได้รับจากเงินปันผลจากบริษัทร่วมที่มีผลกำไรด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่ค่อนข้างต่ำและมีความผันผวนของรายได้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากงานโครงการ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะการแข่งขันในการประมูลงานและสร้างรายได้จากงานโครงการในระดับที่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ บริษัทจะยังคงได้รับประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและได้รับผลตอบแทนจากบริษัทร่วมที่สร้างกำไร ทั้งนี้ บริษัทยังไม่มีโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้ายกเว้นในกรณีที่บริษัทสามารถปรับปรุงอัตราการทำกำไรและการลงทุนของบริษัทได้รับผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากรายได้ของบริษัทปรับลดลงอย่างมาก รวมทั้งอัตราการทำกำไรของบริษัทปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือเงินปันผลรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สถานะทางธุรกิจของ LOXLEY อยู่ในระดับที่น่าพอใจเนื่องจากบริษัทมีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจซึ่งช่วยลดความผันผวนของรายได้ลง บริษัทก่อตั้งในปี 2482 โดยประกอบธุรกิจที่หลากหลายผ่านการถือหุ้นทั้งหมดหรือถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทย่อยต่าง ๆ บริษัทให้บริการและจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายโดยแบ่งสายธุรกิจหลักออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) สายธุรกิจเทคโนโลยี (2) สายธุรกิจการค้า และ (3) สายธุรกิจบริการ บริษัทเป็นทั้งผู้ให้บริการเองและลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าหลายแห่ง โดยบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าช่วยขยายขอบเขตกิจการของบริษัทออกไปในหลาย ๆ ธุรกิจ เช่น การผลิตและจำหน่ายนำมันเครื่อง เหล็กแผ่นเรียบเคลือบโลหะและเคลือบสี สายใยแก้วนำแสง รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และอื่น ๆ
งานสายธุรกิจเทคโนโลยีของบริษัทส่วนใหญ่ดำเนินการผ่าน บมจ.ล็อกซเล่ย์ ไวร์เลส และ กลุ่มล็อกซบิท ซึ่งให้บริการและจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology -- ICT) โดยกลุ่มสินค้าในสายธุรกิจนี้ประกอบไปด้วยการให้บริการและโครงข่ายการสื่อสาร อุปกรณ์อัตโนมัติในธุรกิจธนาคารและการให้บริการนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมทั้งการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) แบบครบวงจร นอกจากนี้ สายธุรกิจเทคโนโลยียังให้บริการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับระบบพลังงานและระบบไฟฟ้า ระบบกระจายสัญญาณภาพและเสียงโทรทัศน์และวิทยุ ระบบจัดการน้ำและของเสีย ติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณรถไฟ ระบบทางด่วน ระบบขนส่ง ระบบการสื่อสารทางธุรกิจ และยังรวมถึงการให้บริการและจำหน่ายอุปกรณ์การพิมพ์ความเร็วสูงอีกด้วย
ส่วนงานสายธุรกิจการค้านั้น บริษัททำหน้าที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้ตราสินค้าหลากหลายที่มีชื่อเสียงโดยผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้น 50% คือ บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด นอกจากนี้ บริษัทยังจัดจำหน่ายสินค้าเคมีภัณฑ์ อะไหล่รถยนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างต่าง ๆ ด้วย ในส่วนของสายธุรกิจบริการนั้น บริษัทให้บริการงานด้านการรักษาความปลอดภัยครบวงจรทั้งในสนามบินและนอกสนามบินโดยแหล่งรายได้หลักของสายธุรกิจนี้มาจากการให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ
อันดับเครดิตของบริษัทยังมีการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ที่ยาวนานทั้งกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายด้วยเช่นกัน โดยบริษัทมีชื่อเสียงที่ดีในการประกอบธุรกิจโดยเฉพาะจากผลงานที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มลูกค้าภาครัฐหลายแห่ง บริษัทมีคณะผู้บริหารและพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ โดยพนักงานของบริษัทผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีและมีความสามารถในการให้บริการและจำหน่ายสินค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างมีคุณภาพในระดับสูง นอกจากนี้การมีความชำนาญทางเทคนิคระดับสูงของพนักงานยังช่วยสร้างนวัตกรรมหรือเพิ่มโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ให้แก่บริษัทอีกด้วยแม้ว่าจะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานอยู่ในระดับที่สูงก็ตาม ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถชนะการประมูลงานภาครัฐจำนวนมากได้อยู่เสมอ
บริษัทได้รับเงินปันผลในระดับที่น่าพอใจจากบริษัทร่วมที่สร้างกำไร โดยบริษัทร่วมหลักเกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัทกับ บริษัท บีพี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ บริษัท บลูสโคปสตีล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กชั้นแนวหน้าซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเงินปันผลเป็นแหล่งกระแสเงินสดที่แน่นอนและสม่ำเสมอของบริษัทเนื่องจากบริษัทร่วมมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและมีผลประกอบการทางการเงินที่ดีมาก
ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตของบริษัทก็ถูกลดทอนลงจากการที่บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำและมีรายได้ที่ผันผวน ผลการดำเนินงานของบริษัทส่วนใหญ่มาจากงานโครงการโดยเฉพาะในสายธุรกิจเทคโนโลยีซึ่งขึ้นอยู่กับโครงการของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ อัตรากำไรของงานโครงการดังกล่าวจึงค่อนข้างต่ำเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งโครงการของภาครัฐส่วนใหญ่จะต้องมีการประมูลแข่งขันกัน จึงส่งผลให้รายได้ของบริษัทขึ้นอยู่กับงบประมาณรายจ่ายและโครงการใหม่ ๆ ของภาครัฐ ดังนั้นงานของบริษัทจึงมีความเสี่ยงที่ต่ำในการผิดนัดชำระเงินแต่ก็มีอัตราการทำกำไรที่ต่ำด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ บางโครงการอาจเกิดความล่าช้าหรืออาจมีการยกเลิกซึ่งยิ่งสร้างความผันผวนให้แก่รายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ทั้งบริษัทและคู่แข่งที่ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารยังจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีซึ่งส่งผลให้สินค้าหรือบริการบางอย่างอาจล้าสมัยได้
รายได้ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากสายธุรกิจเทคโนโลยีโดยเฉลี่ยคิดเป็นประมาณ 70% ของรายได้ทั้งหมดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อรับมือกับความผันผวนของรายได้และกำไรของงานโครงการ บริษัทจึงพยายามสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ โดยปัจจุบันรายได้ประจำของบริษัทมาจากสายธุรกิจการค้าและสายธุรกิจบริการซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 32%-36% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจากระดับ 10,281 ล้านบาทในปี 2553 สู่ระดับประมาณ 14,000-15,000 ล้านบาทในระหว่างปี 2554-2557 โดยส่วนใหญ่มาจากสายธุรกิจเทคโนโลยี โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจากงานบริการติดตั้งโครงข่าย 3G อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 รายได้ของบริษัทปรับตัวลดลง 18% สู่ระดับ 5,040 ล้านบาทเนื่องจากความล่าช้าของโครงการภาครัฐ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจึงลดต่ำลง โดยในช่วงปี 2553-2557 บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ระดับ 1%-2% หรือเท่าทุนเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานสูง ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 บริษัทขาดทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 3.2% เนื่องจากรายได้ปรับตัวลดลง
ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินกู้สำหรับโครงการ ภาระหนี้จึงมักเพิ่มขึ้นเมื่อบริษัทได้งานโครงการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น โดยภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,318 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 4,767 ล้านบาทในปี 2555 และปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2,666 ล้านบาทในปี 2557 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 29.4% ณ สิ้นปี 2557 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีภาระหนี้อยู่ที่ระดับ 3,132 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับสูงขึ้นสู่ระดับ 33.4% ในช่วงปี 2558-2561 บริษัทมีแผนในการลงทุนปีละ 180 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 30%
สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้จากเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม โดยเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทซึ่งหักกำไรส่วนได้เสียจากบริษัทร่วมและบวกเงินปันผลรับปรับลดลงจากระดับ 300-400 ล้านบาทในช่วงปี 2553-2554 เป็น 247 ล้านบาทในปี 2555 และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 700 ล้านบาทในปี 2556-2557 บริษัทได้รับเงินปันผลอย่างมีนัยสำคัญจากบริษัทร่วมที่ประสบความสำเร็จ 2 บริษัทได้แก่ บริษัท บีพี-คาสตรอล (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด โดยการลงทุนในบริษัททั้ง 2 แห่งมีผลกำไรอย่างมาก ทั้งนี้ เงินปันผลจากทั้ง 2 บริษัทคิดเป็นมากกว่า 80% ของเงินปันผลรับทั้งหมดของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงจากระดับ 14% ในปี 2553 และปี 2554 สู่ระดับ 5.2% ในปี 2555 และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 20% ในปี 2556 และ 26.9% ในปี 2557 ส่วนอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 1.2 เท่าในปี 2553 เป็นประมาณ 4.5 เท่าในระหว่างปี 2554-2557 สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับ 99 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 19.9% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) และ 3 เท่าตามลำดับ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 512 ล้านบาทและเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 566 ล้านบาท บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ประมาณ 1,678 ล้านบาท โดยในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีภาระในการชำระหนี้ระยะยาว 135 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 2,052 ล้านบาทโดยเป็นวงเงินเฉพาะโครงการจำนวน 1,200 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทในปี 2558 จะปรับตัวลดลงราว 15% เนื่องจากความล่าช้าของงานภาครัฐ ดังนั้น คาดว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน โดยที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะปรับตัวลงสู่ระดับ 10% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่า ในระหว่างปี 2559-2561 คาดว่ารายได้ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 14,000-17,000 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1%-2% ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจำนวน 500-600 ล้านบาทต่อปีจากการลงทุน ทริสเรทติ้งประเมินว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับ 20% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับสูงกว่า 5 เท่า