นอกจากนี้ ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตของหุ้นกู้มีประกันของ CPALL ที่ ‘A+(tha)’ และอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันของบริษัทฯ ที่ ‘A(tha)’ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ของ CPALL ที่ ‘F1(tha)’
การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่อ่อนแอ ซึ่งจะส่งผลให้ CPALL น่าจะต้องใช้เวลานานกว่าที่คาด ในการลดอัตราส่วนหนี้สินลงเพื่อให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบัน
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินที่ล่าช้าลง: ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินของ CPALL ที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (funds flow from operations (FFO) adjusted net leverage) น่าจะอยู่ที่ประมาณ 6.0 เท่า ณ สิ้นปี 2558 และยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่าในปี 2560 ซึ่งไม่สอดคล้องกับอันดับเครดิตที่ ‘A+(tha)’ โดยความล่าช้าดังกล่าวมีสาเหตุจากระดับกำไรและกระแสเงินสดที่อ่อนแอกว่าที่คาด เนื่องจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่มีความท้าทายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม CPALL มีแผนที่จะขายสัดส่วนของการลงทุนใน บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ Makro บางส่วน และนำเงินที่ได้รับมาลดหนี้ ซึ่งน่าจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของ CPALL ลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 3.5 เท่าได้ในปี 2560
กระแสเงินสดเติบโตในระดับปานกลางแต่มั่นคง: ฟิทช์คาดว่ารายได้ของ CPALL จะเติบโตในอัตราร้อยละ 10 ถึงร้อยละ 11 ในปี 2558 และปี 2559 จากสาขาที่เปิดใหม่เป็นหลัก ในขณะที่อัตราการเติบโตของยอดขายต่อร้านค้าเดิม (Same-Store Sale) ของ 7-Eleven น่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1 ในปี 2558 และ ร้อยละ 2.5 ถึงร้อยละ 3 ในปี 2559 อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อ่อนแอ บริษัทฯ ยังคงได้รับประโยชน์จากการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากสินค้าที่ขายส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความผันผวนของรายได้และอัตรากำไรน้อย ในขณะที่ศักยภาพในการเติบโตของบริษัทฯ ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสภาวะของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยที่ยังเติบโตไม่ถึงระดับอิ่มตัว
ผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ: CPALL เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ฟิทช์เชื่อว่า CPALL จะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำทางการตลาดไว้ได้ แม้ว่าธุรกิจค้าปลีกจะมีการแข่งขันที่สูง CPALL มีจำนวนร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven มากกว่า 8,400 ร้านทั่วประเทศ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าร้อยละ 60 ในด้านจำนวนร้าน ซึ่งสูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับสองเป็นอย่างมาก ความเป็นผู้นำในตลาดของ CPALL มีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีร้านค้าในเครือเป็นจำนวนมากและครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง รวมถึงการมีหน่วยงานในเครือที่สนับสนุนกิจการค้าปลีกของบริษัทฯ ได้แก่การบริการด้านลอจิสติกส์ การซ่อมแซมและบำรุงรักษาร้านค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงาน
เครื่องหมายการค้าที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง: CPALL บริหารงานร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก ภายใต้สัญญา Area License Agreement ที่ทำกับบริษัท 7-Eleven Inc., แห่งสหรัฐอเมริกา โดยได้เปิดดำเนินการร้านค้าแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2532 ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านค้า 7-Eleven มากเป็นอันดับที่สองในโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น
ความสามารถในการแข่งขันที่ชัดเจน: การเข้าซื้อกิจการของ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสด และบริการตนเอง (Membership based Cash & Carry trade center) ในประเทศไทย ทำให้ CPALL สามารถเพิ่มฐานลูกค้าทั้งในด้านปริมาณและความหลากหลาย หลังจากการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว CPALL ได้กลายเป็นผู้ประกอบกิจการค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) ประเภทอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ความเป็นผู้นำทางการตลาดและประโยชน์จากการร่วมธุรกิจทำให้ทั้ง CPALL และ Makro สามารถมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าผู้ค้าปลีกรายใหญ่รายอื่น โดยที่อัตรากำไรไม่ลดลง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อ่อนแอในช่วง 12-18 เดือนที่ผ่านมา
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ - รายได้รวมมีการเติบโตในอัตราร้อยละ 10-11 ในปี 2558 และ 2559 - อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและ ค่าเช่าต่อรายได้ (EBITDAR Margin) อยู่ที่ร้อยละ 9.5-10.0 ในปี 2558 และ 2559 - มีการเปิดร้านค้าใหม่จำนวน 650 สาขาต่อปีสำหรับร้าน 7-Eleven และ 13 – 14 สาขาต่อปีสำหรับร้านค้าของ Makro ในปี 2558 และ 2559
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยลบ: การไม่สามารถขายสัดส่วนการลงทุนใน Makro หรือมีมาตราการใหม่ๆ ที่จะสามารถทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ลดลงต่ำกว่า 3.5 เท่าได้ในปี 2560 (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558: 6.6 เท่า)อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและ ค่าเช่าต่อรายได้ (EBITDAR Margin) ที่ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 8.5 อย่างต่อเนื่อง (ครึ่งปีแรกปี 2558: ร้อยละ 10.1) การมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผลจ่าย (FCF) ที่เป็นลบต่อเนื่องกัน 2 ปี
ปัจจัยบวก: แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพ หากบริษัทฯ สามารถลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า