ส่วนหุ้น PTTGC อยู่ที่ 57 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท(+1.33%)มูลค่าซื้อขาย 202.41 ล้านบาท
บล.เคเคเทรด ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า บมจ.ไทยออยล์(TOP) และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC) เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมุมมองเชิงบวกที่มีต่อราคาน้ำมัน และทิศทางของค่าการกลั่นที่ฟื้นตัว ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวจะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของราคา HDPE (ผลิตภัณฑ์หลักของ PTTGC)แม้จะมีความเสี่ยงในระยะสั้นจากผลประกอบการ 3Q58 ที่อ่อนแอ แต่มีมุมมองเป็นบวกต่อการฟื้นตัวของค่าการกลั่นในช่วงที่เหลือของปี
ช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา ค่าการกลั่นสิงค์โปร์ปรับเพิ่มต่อเนื่อง โดยในเดือน ต.ค.อยู่ที่ 7.8 เหรียญฯต่อบาร์เรล จาก 5.7 เหรียญฯต่อบาร์เรลในเดือน ส.ค. และ 7.7 เหรียญฯต่อบาร์เรลในเดือน ก.ย. โดยมองว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก กลุ่มผลิตภัณฑ์ Middle distillate (น้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซล) จากการเข้าสู่ฤดูหนาวและฤดูท่องเที่ยวทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อนและน้ำมันอากาศยาน
ขณะที่กลุ่มน้ำมัน Light distillate โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินยังมี Crack Spread ทรงตัวในระดับสูง แม้จะผ่านช่วง Driving Season ในสหรัฐฯและเทศกาลรอมฎอนที่มีความต้องการใช้น้ำมันเบนซินสูงส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ต่ำต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีนี้อีกทั้งกำลังกลั่นใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการผลิตน้ำมัน Middle distillate เป็นหลักขณะที่ยังมีโรงกลั่นเข้า Maintenance ระหว่างเดือน ก.ย. – ต.ค. กว่า 2 – 3 ล้านบาร์เรล