สำหรับ TFG เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการผลิตไก่และสุกร โดยดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม ประกอบด้วย 4 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจไก่ ซึ่งดำเนินการเพาะพันธุ์ไก่ ผลิตและจำหน่ายเนื้อไก่ ลูกไก่ ไก่พันธุ์เนื้อ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่ ส่วนธุรกิจสุกรได้ดำเนินการเพาะพันธุ์สุกรและจำหน่ายสุกรมีชีวิต ธุรกิจอาหารสัตว์ที่มุ่งเน้นผลิตและจำหน่ายอาหารสำหรับไก่และสุกร และธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีนและเวชภัณฑ์ ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสัตว์ และอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ทำจากพลาสติกอีกด้วย
แผนดำเนินงานหลังจากจดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น บริษัทฯ จะเดินหน้ามุ่งขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อไก่สดไปยังตลาดอียูและญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกให้มากขึ้น รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัตถุดิบด้วยการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ ‘ไทยอร่อย’ ที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์ โดยปัจจุบันได้เริ่มทำตลาดผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเป็นที่เรียบร้อยแล้วและมีแผนขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม คาดว่าจากแผนงานดังกล่าว จะช่วยให้ TFG สามารถรักษาอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม และช่วยรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นได้ดีขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ในระดับ 15%
เนื่องจากบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปลงทุนสร้างความแข็งแกร่งให้แก่การดำเนินธุรกิจของ TFG ทั้งการลงทุนโรงงานผลิตไส้กรอกไก่ ปรับปรุงโรงผลิตชิ้นส่วนไก่เพื่อการส่งออก ลงทุนในโรงผลิตชิ้นส่วนสุกร โรงงานผลิตอาหารสัตว์ และขยายฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ไก่/สุกร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและสนับสนุนการสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบรองรับแผนงานในอนาคต และจะนำส่วนที่เหลือไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง เหลือ 1.5-1.6 เท่า จากเดิมที่ 3.3 เท่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ TFG ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นและสามารถนำเงินมาจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้
“เรามั่นใจด้วยยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจของ TFG ที่หันมาเน้นการส่งออกและมุ่งสู่ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป รวมถึงธุรกิจปลายน้ำอื่นๆ ซึ่งล้วนมีความสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม จะช่วยหนุนศักยภาพการทำธุรกิจของเราให้มีความแข็งแกร่งและมีขีดความสามารถในการแข่งขันทำตลาดได้ดียิ่งขึ้น โดยมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 59 จะสามารถพลิกกลับมาทำกำไรและสามารถล้างขาดทุนสะสมได้ หลังปีนี้เราต้องเผชิญปัญหาขาดทุนจากซัพพลายส่วนเกินของไก่ที่มีมากกว่าความต้องการของตลาด" นายวินัย กล่าว
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เคที ซีมิโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า แนวโน้มราคาเนื้อไก่และสุกรภายในประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้น หลังราคาเนื้อไก่และสุกรได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 1/58 และได้ทยอยปรับราคาสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ปัจจัยค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงนั้น ยังช่วยหนุนศักยภาพการส่งออกเนื้อไก่สดไปยังตลาดอียูและญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ TFG สามารถแข่งขันด้านการส่งออกได้ดีขึ้น พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มทางวัตถุดิบด้วยการมุ่งสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ที่สามารถสร้างอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ดี เข้ามาช่วยผลการดำเนินงานของ TFG ให้พลิกฟื้นในทิศทางที่ดีขึ้น
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ และ บล.เคเคเทรด มีมุมมองต่อทิศทางการดำเนินงานของ TFG ในปี 59 ที่คาดว่าจะกลับมามีกำไรสุทธิ 820-876 ล้านบาท หลังผ่านจุดต่ำสุดในปี 58 ที่ขาดทุนจากซัพพลายไก่ที่เกินความต้องการของตลาด โดยกำไรที่พลิกกลับมาเติบโตในปี 59 นั้นมาจาก TFG ได้เร่งดำเนินการส่งออกเนื้อไก่สดไปยังอียูและญี่ปุ่นที่มีอัตรากำไรต่อชิ้นมากกว่าการจำหน่ายภายในประเทศ
ขณะเดียวกัน TFG ยังขยายตลาดผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและธุรกิจปลายน้ำอื่นๆ จากเนื้อสัตว์ที่ผลิตได้ ซึ่งมีผลต่ออัตราการทำกำไรขั้นต้นของ TFG ดียิ่งขึ้น โดยคาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยระยะ 3 ปี หรือปี 59-62 อยู่ที่ 20% ต่อปีและคาดทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.5% ต่อปี ทั้งนี้ จึงได้ประเมินราคาที่เหมาะสม (Fair Value) ของหุ้น TFG ในปี 59 ไว้ที่ 3.15-3.28 บาทต่อหุ้น