นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม SIRI เปิดเผยว่า รายได้ในปีนี้ยังเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 3.5 หมื่นล้านบาท และทำกำไรสุทธิได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไร 3.39 พันล้านบาท เนื่องจากการที่บริษัทเร่งระบายสต๊อกออกไปด้วยการทำโปรโมชั่นกดดันอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ ทำให้ครึ่งปีแรกอัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 28.27% เมื่อเทียบกับ 32.36% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 57 แต่จากการที่บริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนการขายและการบริหารภายใต้แผนงาน "Engineer for Growth"ช่วยผลักดันกอัตราการเติบโตของกำไรได้อย่างน้อย 1%
สำหรับรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 9 เดือนแรก บริษัททำได้แล้ว 2.7 หมื่นล้านบาท โดยมีการโอนไนช่วงไตรมาส 3/58 จำนวน 1 หมื่นล้านบาท และครึ่งปีแรกของปีนี้มีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 1.7 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ไนปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 4/58 จะมีการโอนอีกประมาณ 6-6.5 พันล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ 3.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นของ SIRI จำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท และบริษัทร่วมทุนกับ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์(BTS)อีก 7.7 พันล้านบาท โดยจะมีการทยอยรับรู้รายได้ไปในอี 3 ปีข้างหน้า หรือรองรับรายได้ไปถึงปี 61
ส่วนยอดขายของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/58 ตั้งเป้าไว้ที่ 1.25 หมื่นล้านบาท เพื่อทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ 3.3 หมื่นล้านบาท หลังจาก 9 เดือนบริษัททำยอดขายได้แล้ว 2.05 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทจะมีการเปิดโครงการในไตรมาส 4/58 อีกจำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวม 2.15 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 5 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ
โครงการคอนโดมิเนียมในไตรมาส 4/58 ที่จะเปิดตัวนั้น ได้แก่ โครงการ The Line ราชเทวี จะเปิดตัวช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ และอีก 4 โครงการ เป็นโครงการร่วมทุน 3 โครงการ และโครงการของบริษัทเองอีก 1 โครการ
ด้านนายเมธา อังวัฒนพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ SIRI กล่าวว่า กลยุทธ์การขายโครงการแนวราบของบริษัทในปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นการขายบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ จากเดิมที่ขายบ้านก่อนสร้างเสร็จ 6-8 เดือน ซึ่งการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์นั้นส่งผลให้บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการโอนเข้ามาได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น และทำให้ต้นทุนการขายอีกด้วย โดยสำหรับโครงการแนวราในปัจจุบันนั้นมี Backlog อยู่ที่ราว 1 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไนช่วงที่เหลือของปีนี้มองว่าความมั่นใจของประชาชนเริ่มเห็นสัญญาการฟื้นตัวขึ้น และส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังจากมีข่าวเกี่ยวกับมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆออกมา โดยเฉพละมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่มองว่ามาตรการของรัฐจะเป็นผลดีต่อภาคอสังหาริมารัพย์อย่างมากทั้งในแง่ของผู้ซื้อและผู้ประกอบการอสังหาริทรัพย์ และส่งผลให้การขายโครงการมีการกระเตื้องมากขึ้น แม้ว่าอาจจะมีจังหวะการชะลอการซื้อในช่วงรอการประกาศอย่างเป็นทางการของภาครัฐ
ด้านอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทในปัจจุบันได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 10% จากในช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ในช่วง 10-15% เพราะบริษัทได้ร่วมมือกกับธนาคารพาณิชย์ที่เป็นพันธมิตรร่วมทำโปรโมชั่นให้กับลูกค้าเพื่อขอสินเชื่อ เช่น การทำโปรโมชั่นลดราคาขาย ทำให้จำนวนวงเงินในการขอสินเชื่อลดลง และเป็นการลดความเสี่ยงให้กับธนาคารพาณิชย์ ประกอบกับการทำการ Pre-Approve สินเชื่อก่อนการโอนจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต ซึ่งช่วยทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทลดลงในปัจจุบันและในอนาคตข้างหน้า
ในไตรมาส 4/58 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในแนวราบ โครงการใหม่อีกประมาณ 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการพัฒนาบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ทั้งหมด ได้แก่ บ้านเดี่ยวทำเลกรุงเทพฯ โซนตะวันออก โครงการ “เศรษฐสิริ พัฒนาการ-อ่อนนุช" มูลค่าโครงการรวม 3,200 ล้านบาท, บ้านเดี่ยวในโครงการ “คณาสิริ วงแหวน – ลำลูกกา" มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวต่อเนื่องจากแบรนด์ “คณาสิริ" ที่ได้รับการตอบรับที่ดี รวมทั้งบริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการแรกในโคราช ภายใต้แบรนด์ สราญสิริ ชื่อโครงการ “สราญสิริ โคราช" มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าในหัวเมืองใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวในจังหวัดเชียงใหม่อีก 1 โครงการเพื่อตอบรับความต้องการบ้านเดี่ยวที่เชียงใหม่ที่ยังมีอุปสงค์ตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง