สำหรับการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา มาจากกองทุน 4 ประเภท คือ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยล่าสุด บลจ.วรรณ เปิดตัวกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยแลนด์ โฮสพีทาลิตี้ (TLHPF) มูลค่ากองทุน 1,720 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเตรียมออกกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ร่วมกับ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) อีก 1 กอง ในช่วงปลายปีนี้
ทั้งนี้ บลจ.วรรณ คาดว่า กำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโต 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 95 ล้านบาท โดยปัจจุบันผลประกอบการเติบโตไปแลัวกว่าครึ่ง เนื่องจากบริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง
นายวิน กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET Index)ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,300-1,450 จุด เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่มีโอกาสสูงจะพิจารณาในช่วง เดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว ก็คงไม่มีผลกระทบต่อการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในตลาดเกิดใหม่มากนัก ซึ่งรวมถึงไทยด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลออกไปมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม นายวิน มองว่า ปัจจัยหลักที่จะดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามานั่นคือการฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจและความเขื่อมั่นในประเทศ ซึ่งคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเริ่มเห็นผลชัดเจนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และจะเป็นปัจจัยหนุนต่อบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
บลจ.วรรณ มองเป้า SET Index ปี 59 ที่ระดับ 1,600-1,650 จุดในกรณีพื้นฐานที่ไม่มีปัจจัยรุนแรงเข้ามากระทบ และภายใต้สมมติฐานค่า P/E ตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย 14-14.5 เท่า กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 25% ขณะที่ราคาน้ำมันคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาที่เฉลี่ย 60 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ราว 3.5-4%
พร้อมแนะนำนักลงทุนหน้าใหม่ควรลงทุนหุ้นไม่เกิน 10% ของพอร์ต และให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ 50-60% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 20-30% คาดว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-6% ต่อปี ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก สามารถลงทุนหุ้นในสัดส่วน 20-30% โดยแบ่งลงทุนในและต่างประเทศอย่างละ 10-15%