ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120.39 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท/หุ้น แบ่งเป็นเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้น บมจ.เจมาร์ท(JMART)จำนวนไม่เกิน 48.156 ล้านหุ้น หรือ 40% ของหุ้นที่เสนอขาย และเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปจำนวนไม่น้อยกว่า 72.234 ล้านหุ้นในช่วงวันที่ 2-4 พ.ย.นี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (SET) ได้ในวันที่ 10 พ.ย.โดยมี บล.เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน ประธานเจ้าหน้าบริหาร J กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ราว 333 ล้านบาท จะนำไปใช้ขยายธุรกิจจำนวน 233 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจำนวน 100 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สินต่อทุน(D/E)ลดลงได้อีก จากปัจจุบันมี D/E อยู่ที่ 1.73 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรม
ธุรกิจของบริษัทฯแบ่งเป็น 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้าในส่วนสินค้าประเภทโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสินค้าเทคโนโลยี เพื่อนำมาจัดสรร และให้เช่าต่อผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ชื่อ "IT Junction" ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 43 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพฯ ปริมาณฑล และต่างจังหวัด และธุรกิจบริหารพื้นที่ในรูปแบบตลาดชุมชน ภายใต้ชื่อ J Market ซึ่งเปิดให้บริการแล้วจำนวน 4 แห่ง รวมถึงการพัฒนา บริหารพื้นที่แบบศูนย์การค้าชุมชนภายใต้ชื่อ The Jas เปิดให้บริการแล้ว 2 แห่ง โดยหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯบริษัทฯตั้งเป้าหมายในการขยายจำนวนพื้นที่เช่า ทั้ง 3 รูปแบบดังกล่าว ให้มากกว่า 100 สาขา ภายในปี 62 จากปัจจุบันที่มีอยู่รวม 49 สาขา
ขณะที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 58 จะเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 450 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 54.80 ล้านบาท เป็นผลจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น รวมถึงได้ปรับขึ้นค่าเช่าพื้นที่ในส่วนของสาขาวังหิน ขณะที่บริษัทฯจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ให้อยู่ระดับ 30% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ที่ 15%
สัดส่วนรายได้ปีนี้จะมาจากธุรกิจการบริหารพื้นที่เช่า IT Junction ราว 80%, ธุรกิจการพัฒนา และบริหารพื้นที่ในรูปแบบตลาดชุมชน J Market จำนวน 5% และธุรกิจพัฒนา และบริหารพื้นที่ในรูปแบบศูนย์การค้าชุมชน The Jas จำนวน 15% โดยมองว่าหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ใน 3-4 ปี จะมีสัดส่วนจากธุรกิจดังกล่าวเป็น 60%,20%,20% ตามลำดับ เป็นไปตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น