ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 700 ลบ.CENTEL ที่ A/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 12, 2015 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 700 ล้านบาทของ บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา(CENTEL) ที่ระดับ "A" ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิต องค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "A" เช่นกัน โดยแนวโน้มยัง คง "Stable" หรือ "คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และ สำรองเป็น เงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนกระแสเงินสดที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจ โรงแรมและ ธุรกิจอาหาร รวมถึงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจอาหารบริการด่วน และการมีโรงแรมที่ หลากหลาย ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัลด้วย อย่างไรก็ ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดู กาลและถูกกระทบ ได้ง่ายจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจอาหารบริการ ด่วนที่มีอัตรากำไรต่ำ ทั้งนี้ ธุรกิจทั้ง 2 ประเภทจัดว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงเมื่อพิจารณาจากอุปสงค์ ของจำนวนห้องพักใน โรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการทำการตลาดเชิง รุกในหมู่ผู้ประกอบการอาหารบริการด่วน

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษา สถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่ง ในธุรกิจหลักของบริษัทต่อไป ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับ เพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มจำนวนและความ หลากหลายให้แก่ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารได้ โดยที่ยังคงรักษาสถานะทางการ เงินที่แข็งแกร่ง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหาก ผลการดำเนินงานของบริษัทหดตัวลงเป็นเวลานาน หรือบริษัทมีการลงทุนที่มีการก่อหนี้จำนวนมาก

CENTEL ก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 โดยปัจจุบันตระกูล จิราธิวัฒน์ถือ หุ้นบริษัทในสัดส่วน 63% บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารในประเทศไทย ทั้งนี้ ในปี 2557 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 45% ของรายได้รวมทั้งหมด ในขณะที่ บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 74% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวมทั้งหมด ณ สิ้นเดือน มิถุนายน 2558 บริษัทบริหารโรงแรม 41 แห่ง รวมจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 7,805 ห้อง โดยโรงแรม ทั้งหมดตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทยและในต่างประเทศ 4 ประเทศ ได้แก่ มัลดีฟส์ เวียดนาม ศรีลังกา และอินโดนีเซีย บริษัทบริหารงานโรงแรมภายใต้แบรนด์ "เซ็นทารา แกรนด์" "เซ็นทารา" และ "เซ็นทรา" และมีโรงแรมของตนเองทั้งสิ้น 15 แห่ง โดย 1 แห่งอยู่ภายใต้กอง ทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ โรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของโดยตรงคิดเป็นสัดส่วน 49% ของจำนวน ห้องทั้งหมด

บริษัทดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือ คือ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด โดยปัจจุบัน บริษัทเซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป ให้บริการอาหารบริการด่วน จำนวน 12 แบรนด์ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหารภายใต้แฟรนไชส์จากต่างประเทศจำนวน 10 แบรนด์ และแบรนด์ของบริษัทเองจำนวน 2 แบรนด์ คือ "ริว ชาบู ชาบู" และ "เดอะ เทอเรส" โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีจำนวนสาขาร้านอาหารรวมทั้งหมด 774 แห่งทั่วประเทศ

ในปี 2557 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการ เมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 7% อยู่ที่ 24.78 ล้านคน อย่างไรก็ ตาม หลังจากความตึงเครียดทางการเมืองได้ยุติลงจากการทำรัฐประหารในกลางปี 2557 จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ปรับฟื้นตัวอย่างมาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น 7% ใน ไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 และ 29% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เนื่องจากการมีแหล่งท่องเที่ยวที่ มีคุณภาพสูงและความต้องการเดินทางท่องเที่ยวอย่างมากภายในภูมิภาคเอเชีย โดยจำนวนนักท่อง เที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้น 108% สู่ระดับ 3.97 ล้านคนในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ในขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวยุโรปกลับปรับตัวลดลง 14% สู่ระดับ 2.82 ล้านคนเนื่องจากจำนวนนักท่อง เที่ยวชาวรัสเซียลดลงอย่างมาก

ทั้งนี้ แนวโน้มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังอยู่ใน ระดับดีจากการมีแหล่ง ท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดใจและความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของประเทศ เศรษฐกิจเกิดใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายอีกมากที่อาจจำกัดการเติบโตของการท่องเที่ยว ไทย เช่น การชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น ในการที่จะถนอมรักษาและคงสภาพทรัพยากรทางธรรมชาติให้น่าดึงดูดใจ อย่างยั่งยืน

ในปี 2557 ความวุ่นวายทางการเมืองส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพ และส่งผลให้อัตรา การเข้าพักโรงแรมลดต่ำลงสู่ระดับ 74.8% ในปี 2557 จากระดับ 79.8% ในปี 2556 แต่รายได้ ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของบริษัทยังเพิ่มขึ้น 4.2% เนื่องจากราคาห้องพักของโรงแรม ใหม่ในหมู่เกาะมัลดีฟส์มีราคาสูง อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 รายได้จากธุรกิจโรงแรมคงที่เมื่อเทียบ กับปีที่ผ่านมาเนื่องจากการอ่อนตัวของ การใช้จ่ายด้านอาหารภายในโรงแรม สำหรับช่วงครึ่งแรก ของปี 2558 รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่องในสัด ส่วน 8.6% สู่ระดับ 4,079 บาทต่อคืนตามการฟื้นตัวของอัตราการเข้าพักโรงแรมที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 80.9% เมื่อเทียบกับระดับ 72.4% ของช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา

ในปี 2557 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 5% สู่ระดับ 17,992 ล้านบาทจากรายได้ธุรกิจอาหารที่ ปรับขึ้น 9% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 8% สู่ระดับ 9,538 ล้าน บาทจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรม อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลง จากระดับ 21.5% ในปี 2556 เป็น 20.7% ในปี 2557 เนื่องจากธุรกิจอาหารได้รับผลกระทบจาก ต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและการขาด ทุนจากการปิดแบรนด์ร้านอาหาร ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 อัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 25.3% จากการปรับตัวที่ดีขึ้นของการดำเนินงาน ของโรงแรมในกรุงเทพฯ และการควบคุมต้นทุนในธุรกิจอาหาร

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 55.8% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 สู่ ระดับ 49.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นจาก 2,938 ล้านบาทในปี 2556 เป็น 3,163 ล้านบาทในปี 2557 และอยู่ที่ระดับ 2,078 ล้านบาทใน ช่วงครึ่งแรกของปี 2558 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 21% ในปี 2556 เป็น 25.2% ในปี 2557 และที่ระดับ 32.7% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ส่วนอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากระดับ 5.9 เท่าในปี 2556 เป็น 8 เท่าในช่วง ครึ่งแรกของปี 2558 ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีภาระในการชำระหนี้ประมาณ 1,800 ล้าน บาทและมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 748 ล้านบาท โดยสภาพคล่องของบริษัทจะมีเพียงพอสำหรับภาระ หนี้ระยะสั้นและจะได้รับการสนับ สนุนจากเงินสดในมือจำนวน 340 ล้านบาทรวมทั้งวงเงินสินเชื่อ จากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท

ในช่วงปี 2558-2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 6% ต่อปีจากการเพิ่ม ราคาห้องพักและจากอัตราการเข้าพักโรงแรมตามปกติที่ระดับ 78% นอกจากนี้ โดยอัตรากำไรจาก การดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 21%-22% ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานจะปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3,500 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาทเพื่อก่อ สร้างโรงแรมแห่งใหม่และขยายจำนวนร้านอาหาร โดยบริษัทมีแผนจะขยายจำนวนร้านอาหารเพิ่ม เป็น 1,200 ร้านภายในปี 2563 ดังนั้น คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท จะเพิ่มขึ้นแต่อยู่ ในระดับไม่เกิน 55% ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงิน กู้รวมของ บริษัทอยู่ที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 25%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ