ทั้งนี้ บริษัทเลื่อนเปิดโครงการขนาดเล็กไปเป็นปีหน้า เลือกแปิดเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ เนื่องจากบริษัทมองว่าตลาดในช่วงที่เหลือของปียังไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากกำลังซื้อยังไม่ดี ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดไม่ดีไปด้วย และส่งผลให้บริษัทต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดเพิ่มมากขึ้น
"เหตุที่เราเลื่อนโครงการเล็กๆออกไป เพราะเรายังมองว่ากำลังซื้อยังไม่ดี และส่งผลให้มูดส์ของตลาดยังไม่รู้สึกดีขึ้น และเราก็ไม่อยากที่จะต้องมีค่าไช้จ่ายในการทำมาร์เก็ตติ้งเยอะ ก็เลยเลื่อนโครงการเล็กๆออกไปก่อน แล้วก็เปิดโครงการใหญ่ๆแทนที่เรามองว่าจะพอขายได้ โดยหลังเกเลื่อนออกไป 2 โครงการ ในปีนี้ก็จะมีโครงการใหม่เปิดในปีนี้เหลือ 11 โครงการ จากแผนเดิม 13 โครงการ"นายชานนท์ กล่าว
นอกจากนั้น บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.05 หมื่นล้านบาท โดยจะมีการโอนโครงการอีก 5.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog)ทั้งหมดที่มีในปัจจุบันที่ 3.6 หมื่นล้านบาท โดยส่วนที่เหลือจะทยอยโอนไปถึงปี 62 ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้มีการโอนไปแล้ว 2.93 พันล้านบาท
นายชานนท์ กล่าวว่า บริษัทมองว่าหลังจากที่มาตการขอกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมาแล้วจะส่งผลดีต่อภาพรวมอสังหาริททรัพย์ทั้งหมด แต่เป็นเพียงแค่ระยะสั้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามบริษัทมีโครงการที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่รอการขายและพร้อมโอนที่รองรับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐอยู่ที่ 7 พันล้านบาท โดยบริษัทจะเร่งการขายและการโอนให้ทันระยะเวลา 6 เดือนของมาตรการ พร้อมกับมีโปรโมชั่นเสริมให้ลูกค้าอีกด้วย
ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้ตั้งไว้ที่ 7.5 พันล้านบาท ปัจจุบันใช้ไปแล้ว 5 พันล้านบาท นอกจากนี้ในส่วนของโครงการแนวราบระดับกลาง-บนในปีหน้านั้นบริษัทวางแผนคร่าวๆไว้เบื้องต้นจะเปิดในปีหน้าอีก 4 โครการ โดยมีแผนเปิดตัวแน่นอนแล้วเป็นโครงการแนวราบ 2 โครงการทำเลเกษตรนวมินทร์ มูลค่า 1.53 พันล้านบาท และพัฒนาการ มูลค่า 1.23 พันล้านบาท