แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปี 59 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 3-4% โดยจะมีการลงทุนภาครัฐที่เป็นตัวผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ ขณะเดียวกันการกำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 20% เป็นการถาวรก็จะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้นด้วย
"ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ cycle ที่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ และเศรษฐกิจจีนมีการปรับการขยายตัวลงมากอยู่ที่ตัวเลข 5-6% ใน 3-4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยสามารถเติบโตได้ 3-4% ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเราจะไปเติบโตมากกว่านี้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้"นายณรงค์ชัย กล่าว
ขณะที่นายณรงค์ชัย คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)คงจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว และหากมีการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยจริงจะเป็นผลกระทบต่อความผันผวนในตลาดเงินทั่วโลก
สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ลดลงจากที่เคยเป็นตัวเลข 2 หลักมาอยู่ที่ระดับ 6-7% ในปีนี้นั้น เป็นการปรับรูปแบบการเติบโตของจีนที่เน้นการบริโภคภายในมากกว่า จากเดิมที่เน้นการลงทุนและการส่งออกเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเติบโตลดลงแต่ก็ยังถือว่าเป็นการเติบโตในระดับสูงอยู่ เพราะเศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่ และมีสัดส่วนถึง 13% ของจีดีพีโลก
"เราเชื่อว่าสหรัฐฯจะไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่จะค่อยๆปล่อยให้ดอกเบี้ยระยะยาวขยับขึ้นได้ทีละนิด และในส่วนของจีนเองที่มีการเติบโตระดับนี้ก็ยังถือว่ามาก และรัฐบาลจีนจะไม่ปล่อยให้ธนาคารในประเทศล้มอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันจีนยังถือว่ามีความเข้มเข็งมากๆ ซึ่งจีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับที่สูง และมีอำนาจในมือเบ็ดเสร็จ จึงเชื่อว่าจะมีการดูแลเศรษฐกิจได้อย่างดี ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยไม่ว่าจะเป็นปัจจัยของจีนหรือสหรัฐฯนั้น อย่าไปกังวลมาก เพราะทั้ง 2 ประเทศก็มีความพยายามที่ดูแลเศรษฐกิจโลก"นายณรงค์ชัย กล่าว
ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า เฟดคงยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะไปปรับขึ้นในช่วงต้นปี 59 ซึ่งจะเป็นการทยอยปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลา 3 ปี น่าจะขึ้นไปถึงระดับ 1% หรืออาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นให้ปรับตัวลดลงเสมอไป เพราะการการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแสดงถึงเศรษฐกิจที่สามารถกลับมาขยายตัวได้ โดยในครั้งก่อนหน้าที่ผ่านมาช่วงที่สหรัฐมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นไปด้วย
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะยังอยู่ในระดับ 1.25% คาดว่ายังไม่จำเป็นต้องปรับเพิ่มขึ้นในระยะเวลา 1-2 ปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของไทยยังถือว่าสูงกว่าสหรัฐพอสมควร แต่หากดอกเบี้ยสหรัฐปรับขึ้นเกิน 1% ดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็อาจต้องปรับขึ้นตาม เพื่อไม่ให้กระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนมากเกินไป โดยมองระดับค่าเงินบาทที่เหมาะสมที่ประมาน 35 บาท/ดอลลาร์
นายสมบัติ กล่าวถึงมุมมองที่มีต่อตลาดหุ้นไทยว่า ระยะยาวยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากยังให้ผลตอบแทนที่ดีต่อการเข้าลงทุน โดยในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาส่งผลให้ P/E ลงมาอยู่ที่ระดับ 15 เท่า