"ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยทำเลที่ตั้งที่โดดเด่นและสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียนและจีนได้เป็นอย่างดี จากความได้เปรียบทางยุทธ์ศาสตร์ประกอบกับอสังหาริมทรัพย์มีคุณภาพสูง ในขณะที่ราคายังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมืองสำคัญอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ทำให้ชาวต่างชาติสนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย เนื่องจากเห็นโอกาสด้านการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินที่จะปรับตัวสูงขึ้นไปอีกในอนาคต"นายวิษณุ กล่าว
สำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบบ “Nusa One" ซึ่งเป็นการลงทุนอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ที่ครบวงจรและยั่งยืน ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้บริษัทฯ มีแผนงานที่จะขยายเฟส 2 เร็วๆนี้ เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่พลาดโอกาสการลงทุน NUSA ONE ในเฟส 1 ให้สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้อีกครั้ง โดยยังคงแนวคิด "ได้เงิน ได้เที่ยว ได้อสังหาฯ" เน้นจุดเด่นด้านผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด ด้วยการลงทุนอย่างชาญฉลาด กับการ การันตีรายได้ 6.5% นาน 6 ปี แบ่งเป็นเงินปันผล 5.5% และอีก 1% เป็น Redeem Point สามารถใช้แลกเข้าพักที่ในเครือ “Nusa One" ทั้ง 8 แห่งได้หรือสามารถแลกใช้บริการสุดพิเศษ อาทิ Limuzine หรือ Private Jet
โครงการ 8 โครงการใน NUSA ONE ประกอบไปด้วย 1.) โครงการ Dvaree Residence เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ 2.) โครงการ Dvaree Up Ekamai กรุงเทพฯ 3.) โครงการ Nusa สเตท ทาวเวอร์ 4.) โครงการ ดีวารี ซิกเนเจอร์ ภูเก็ต 5.) โครงการ ดีวารี ซิกเนเจอร์ พัทยา 6.) โครงการดีวารี เวลเนส เขาใหญ่ 7.) โครงการ ณุศา ศรีราชา และ 8.) โครงการ ดีวารี ซิกเนเจอร์ เชียงใหม่
“การลงทุนอสังหาฯ NUSA ONE ถือว่าตอบโจทย์ปัญหาและเป็นโอกาสของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในยุคนี้ ที่ผู้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด และมั่นใจในการดูแลบริหารงานที่เป็นมืออาชีพ ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ในการจัดการ บริหารโรงแรมเพื่อให้การลงทุนของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมั่นคงที่สุด"นายวิษณุ กล่าว