TMB รายงานในวันนี้ว่า ไตรมาส 3/58 มีกำไรสุทธิ 2.82 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0643 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.39 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0546 บาท
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบี กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เงินฝากของธนาคารขยายตัวต่อเนื่อง 3% จากไตรมาสที่แล้ว หรือ 7% ในงวด 9 เดือน จากการที่ธนาคารให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์เงินฝากที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เช่น เงินฝากไม่ประจำ (No fixed) ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ดี และ TMB All free ที่เน้นย้ำความสำคัญของความเป็นเลิศในการเป็นธนาคารเพื่อการทำธุรกรรมทางการเงิน (Transactional bank)
ส่วนสินเชื่อคุณภาพ (Performing loan) นั้นเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสที่แล้วหรือ 7% ในงวด 9 เดือน ซึ่งมาจากทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อ SME และสินเชื่อบุคคล
ทั้งนี้ ส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net Interest Margin – NIM) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.94% ค่อนข้างทรงตัวเทียบกับ 2.96% ในไตรมาสที่แล้ว อย่างไรก็ตาม รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือ 1% มาอยู่ที่ 5,783 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 2.5% จากการขยายตัวของค่าธรรมเนียมการขายแบงก์แอสชัวรันส์ ส่วนรายได้รวมของธนาคารทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ขณะที่ธนาคารยังคงเน้นความสำคัญของประสิทธิภาพในการดำเนินงานทำให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานคงตัว ซึ่งทำให้กำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯ ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วที่ 4,272 ล้านบาท แต่หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 4% และรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 31% ทำให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 9% และกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองเพิ่มขึ้น 13%
ในไตรมาสนี้ธนาคารขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) จำนวน 858 ล้านบาท และเนื่องจากธนาคารมีสำรองเดิมในระดับสูง ทำให้ธนาคารโอนกลับสำรองฯ ส่วนเกินซึ่งเป็นผลจากการขายจำนวน 285 ล้านบาท ทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญของธนาคารมีจำนวน 820 ล้านบาทในไตรมาสนี้ ซึ่งลดลง 528 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 1,348 ล้านบาทในไตรมาสที่แล้ว หลังตั้งสำรองแล้ว ธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 จำนวน 2,815 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสที่แล้ว
นอกจากการขาย NPL แล้ว ธนาคารยังคงรักษาคุณภาพสินเชื่อได้เป็นอย่างดี โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ ไตรมาส 3 มีจำนวน 19,794 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่แล้ว 261 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ลดลงจาก 3.09% มาเป็น 2.95% ในไตรมาสนี้ และจากการตั้งสำรองอย่างระมัดระวัง ทำให้ธนาคารยังคงความแข็งแกร่งของสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ที่ 146%
สำหรับงวด 9 เดือนของปีนี้ ธนาคารมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 14% ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 5% ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯ 12,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% โดยธนาคารตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวด 9 เดือนของปีก่อนจาก 2,295 ล้านบาทเป็น 4,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98% ทำให้มีกำไรสุทธิงวด 9 เดือนจำนวน 6,712 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2%
ทั้งนี้ ธนาคารยังคงดำรงสถานะการเงินที่มั่นคง โดยมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 16.4% ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 11.0% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558