“ท่ามกลางความท้าทายของภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่ด้วยการดำเนินกลยุทธ์ที่สร้างความเข้มแข็งให้กับธนาคาร โดยการบริหารต้นทุนเงินฝาก การเติบโตของฐานรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสมกับภาวะตลาด พร้อมกับการควบคุมค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน เป็นผลให้กำไรก่อนการตั้งสำรองเติบโตขึ้น 2.85%จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนนอกจากนี้ การบริหารค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่มีประสิทธิภาพ เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญปรับลดลง 4.42% ส่งผลให้ในไตรมาส 3 ปี 2558 งบการเงินรวมของธนาคารมีกำไรสุทธิ 2,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยจำนวน 285 ล้านบาท หรือ 11.74% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งธนาคารยังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของคุณภาพสินทรัพย์ด้วยการบริหารจัดการ NPL ได้เป็นอย่างดี ทำให้ NPL ลดลง 29.47% หรือคิดเป็นจำนวน 10,718 ล้านบาท เป็นผลให้NPL Ratio ลดลงมาอยู่ที่ 3.42% จาก 4.53% และ Coverage Ratio ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 111.58% จาก 82.32%ขณะที่ เงินกองทุนของธนาคาร เพิ่มขึ้นมาจาก 15.35% เป็น 17.63%"นายสมเจตน์ กล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารได้ปรับโครงสร้างเงินกองทุนชั้นที่ 1 โดยไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (Hybrid Tier I) มาเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Common Equity Tier I) ส่งผลให้เงินกองทุนชั้นที่ 1 แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งรองรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต