ทั้งนี้ สืบเนื่องจากที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ประเทศเมียนมาร์ (SECM) โดยรัฐบาลเมียนมาร์ มีกำหนดเปิดตลาดหลักทรัพย์ย่างกุ้ง (YSX) ขึ้นเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของประเทศเมียนมาร์ อย่างเป็นทางการภายในเดือนธันวาคมนี้ และบล.เคที ซีมิโก้ ได้มีแผนขยายธุรกิจให้ครอบคลุมกลุ่มประเทศ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม จึงร่วมยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศเมียนมาร์ โดยมีทั้งบริษัทหลักทรัพย์จากไทย ต่างชาติ และบริษัทในเมียนมาร์ รวมมากกว่า 100 ราย สนใจและเข้าร่วมยื่นใบสมัครในครั้งนี้ แต่จะมีผู้ได้รับใบอนุญาตเพียง 10 ราย เท่านั้น
"เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ ได้อนุมัติในการขอใบอนุญาต และเป็นโบรกเกอร์ไทยเพียงรายเดียวที่มีคุณสมบัติและได้รับใบอนุญาตนี้ จากการประกาศผลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยดร.หม่อง หม่อง เต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังและประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ส่วนการประกาศรายชื่อบริษัทที่จะได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ย่างกุ้ง ทางคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ประเทศเมียนมาร์จะประกาศให้ทราบในภายหลัง ทั้งนี้บริษัทฯ มีความพร้อมและศักยภาพในการเป็นผู้ให้บริการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์แก่บริษัทในเมียนมาร์ที่จะนำหุ้นเข้าตลาดด้วยเช่นกัน"นายชัยภัทร กล่าว
นายชัยภัทร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้บริษัทได้เตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในเมียนมาร์ ด้วยการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัท เมียนมาร์ รูบี ฮิว ไฟแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินในเมียนมาร์ และมีแผนร่วมกันจดทะเบียนจัดตั้ง “KTZ Ruby Hill Securities Company Limited" ขึ้นทันทีหลังได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ พร้อมเดินหน้าการจัดตั้งสำนักงานในนครย่างกุ้ง อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดหลักทรัพย์ย่างกุ้งจะมีความพร้อมเปิดให้มีการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการ ในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง มิถุนายน 2559 แต่ในระยะแรกของการเปิดซื้อขาย ทางรัฐบาลเมียนมาร์จะให้สิทธิ์แก่นักลงทุนภายในประเทศเข้าลงทุนก่อนนักลงทุนต่างชาติ
ปัจจุบันบล.เคที ซีมิโก้ สามารถนำลูกค้าของบริษัท เข้าลงทุนได้ทั้งตลาดหุ้นเวียดนาม ผ่าน ThanhCong Securities ซึ่งถือหุ้นโดย บล. ซีมิโก้ (มหาชน) และตลาดหุ้นลาว ผ่าน BCEL-KT Securities ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง บล. เคที ซีมิโก้ และธนาคารการค้าต่างประเทศลาว โดยบริษัทสามารถเพิ่มเงินทุนให้การไฟฟ้าลาว (EdL) ได้เป็นมูลค่า 658 ล้านเหรียญสหรัฐ ผ่านการนำบริษัท ผลิตไฟฟ้าลาว มหาชน (EdL-Gen) เข้าตลาดหุ้น ส่วนเมียนมาร์ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่บริษัทพร้อมนำนักลงทุนที่สนใจเข้าไปลงทุน