บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)ระบุว่า กำไรสุทธิของ KBANK ใน Q3/58 อยู่ที่ 1.01 หมื่นล้านบาท ลดลง 12% QoQ และ 19% YoY ซึ่งเป็นไปตามประมาณการและ consensus กำไรที่ลดลง QoQ มีสาเหตุสำคัญมาจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นถึง 24% ในขณะที่กำไรที่ลดลง YoY สะท้อนถึงการที่ NII หดตัวลง 1% และมีการตั้งสำรองในระดับที่สูง สำหรับในงวด 9M15 กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท (-6%) คิดเป็นสัดส่วน 83% ของประมาณการทั้งปี
NII ทรงตัว QoQ แต่เริ่มลดลง 1% YoY ใน 3Q15 แต่เพิ่มขึ้น 3% ในงวด 9M15 โดยรายได้จากธุรกรรมbancassurance ลดลงอย่างมากถึง 25% QoQ และทรงตัว YoY ในขณะที่รายได้จากธุรกรรมการปริวรรตเงินตราเพิ่มขึ้น 23% QoQ และ 116% YoY แต่ก็ยังไม่พอที่จะชดเชยรายได้จาธุรกรรม bancassurance ที่ลดลงมากได้ ดังนั้นเพื่อรักษาสมดุลของผลการดำเนินงานจากธุรกิจหลัก KBANK จึงเริ่มปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง โดยส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายด้านการตลาด
ตัวเลข NPL ยังคงเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ 6% QoQ และ 24% YoY ซึ่งคาดว่าแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึง 4/58 อย่างไรก็ตามเริ่มมีสัญญาณที่ดีที่เริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของหนี้ค้างชำระ 1-3 เดือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะละตัวลง +18% QoQ (เทียบกับ +40% QoQ ในไตรมาสก่อนหน้า)
ทั้งนี้ คาดไว้อยู่แล้วว่าผลประกอบการจะอ่อนแอใน 4Q15 โดยคาดว่าจะลดลง 38% QoQ ทั้งนี้ กำไรสุทธิในงวด 9M15 คิดเป็นสัดส่วน 82% ของประมาณการทั้งปี เมื่อพิจารณาการตั้งสำรองอย่างระมัดระวังของธนาคารแล้ว จึงคิดว่าคุณภาพสินทรัพย์น่าจะยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยคาดว่าทั้งกระแส NPL ใหม่ และการเพิ่มขึ้นของ credit cost น่าจะถึงจุดสูงสุดใน 4Q15 และเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงใน 1Q16 ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในกลางปี 2016
คาดว่ากำไรสุทธิปีหน้าจะโต 24% โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก credit cost ที่คาดว่าจะลดลง 40bps ให้ราคาเป้าหมายที่ 220 บาท อิงจาก P/BV ที่ 1.7x (-0.5SD P/BV)