โดยคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในโครงการของภาครัฐที่น่าจะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น ภายหลังจากที่มีความล่าช้ามาเกือบปี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทั้งนี้ปัจจัยที่ต้องจับตามองหลังจากนี้ คือการติดตามผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลที่คาดว่าจะเริ่มส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี 2559 เป็นต้นไป รวมถึงการประมูลคลื่น 4G ซึ่งหากดำเนินการได้อย่างรวดเร็วจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งคาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากกว่า 2 แสนล้านบาทขึ้นไป
ขณะที่ปัจจัยบวกภายนอกประเทศ ยังคงได้รับมาจากสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางใหญ่ๆ ของโลก อาทิ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือกรณีการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ซึ่งตอนนี้ตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่า เฟดน่าจะมีการเลื่อนปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปเป็นปีหน้า รวมถึงการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีน ซึ่งอาจส่งผลทำให้ตลาดมีความผันผวนได้ในระยะสั้น
บลจ.กสิกรไทย จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนอาศัยช่วงที่ระดับราคาหุ้นยังมีความน่าสนใจนี้ สามารถทยอยเข้าซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมทั้งการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งบลจ.กสิกรไทยมีกองทุน LTF/RMF หลากหลายนโยบายครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ลงทุน
โดยกองทุนที่แนะนำและมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล (K20SLTF) ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นเด่นที่มีศักยภาพสูง ไม่เกิน 20 ตัว และมีผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2558 โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 2.28% และย้อนหลัง3 ปี อยู่ที่ 14.18% ด้านกองทุนเปิดเค 70:30 หุ้นระยะยาวปันผล (K70LTF) ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีไม่เกิน 70% ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -3.49% และย้อนหลัง3 ปี อยู่ที่ 11.41% โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานดัชนี SET ซึ่งให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีและ 3 ปี อยู่ที่ -7.06% และ 10.17% ตามลำดับ
บริษัทยังได้นำเสนอทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย กับกองทุน ของบลจ.กสิกรไทยซึ่งมีหลากหลายนโยบายการลงทุน อาทิ กองทุนเปิดเค หุ้นทุน (K-EQUITY) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยกระจายการลงทุนในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม, กองทุนเปิดเค สตาร์หุ้นทุนคืนกำไร (K-STAR) ซึ่งมีนโยบายลงทุนระยะสั้นถึงปานกลางในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีจุดเด่นโดยจะทำการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อมีกำไรถึงจุดที่กำหนด และกองทุนเปิดเค สตราทีจิค เทรดดิ้ง หุ้นทุน (K-STEQ) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีจุดเด่นโดยจะมีการซื้อขายทำกำไรตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม และสามารถลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กบางส่วน เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม