ทั้งนี้ บริษัทจะร่วมกับบริษัทลูก 3 แห่ง ยื่นข้อเสนอเข้าร่วมโครงการรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร (โซลาร์ฟาร์มส่วนราชการฯ)ในช่วงปลายปีนี้ โดยจะยื่นเสนอขายไฟฟ้า 100 เมกะวัตต์ (MW)จำนวน 3 พื้นที่ เพราะมีพื้นที่แล้วคือจ.เชียงใหม่ 40 MW, จ.ลำพูน 40 MW และ จ.เชียงราย 20 MW โดยจ.เชียงใหม่มีที่ดินแล้ว 1,500 ไร่ จ.ลำพูนมี 700 ไร่ ส่วนที่จ.เชียงรายกำลังสรรหาที่ดินอยู่
สำหรับการยื่นข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นการยื่นร่วมกับหน่วยงานของทหาร โดยไม่มีพันธมิตรอื่นเข้ามาเพิ่มเติมตามที่มีกระแสข่าวว่าจะมีนักลงทุนจากญี่ปุ่นขอเข้าร่วมโครงการด้วย ซึ่งบริษัทคาดหวังจะได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าตามโครงการดังกล่าวราว 40-50 เมกะวัตต์ กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์(COD)ภายในเดือนก.ย.59 คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนราว 3,000-3,500 ล้านบาท
"ถ้าได้โซลาร์ฟาร์มมาประมาณ 40-50 MW ต้นปี 59 ออก PPA และเริ่มก่อสร้างคาดเสร็จก.ย.59 ทั้งหมด(ทั้งล็อต)ที่เราจะได้ เตรียมเงินไว้ 3,500 ล้านบาท หรือ 60 ล้านบาท/MW บริษัทกับบริษัทลูกจะลงทุนเองทั้งหมดสำหรับโซลาร์ฟาร์ม จะไม่ร่วมทุน"นายยุทธนา กล่าว
นายยุทธนา กล่าวว่า แหล่งเงินที่จะใช้ลงทุนจะมาจากการขายสินทรัพย์(Asset)ของบริษัทหรือธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือสร้างผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า ได้แก่ บริษัทย่อยใน จ.เชียงใหม่ ดำเนินธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ราคาประเมินอยู่ที่ราว 600 ล้านบาท โดยเงินลงทุนของบริษัทอยู่ที่ 530 ล้านบาท ถือหุ้น 99.99% ปัจจุบันปล่อยสถานที่ให้เช่าทำรายได้ราวปีละ 30-40 ล้านบาท ซึ่งหากได้รับคัดเลือกทำโครงการโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการฯ ก็จะเสนอคณะกรรมการบริษัทเพื่อขายกิจการดังกล่าวคาดว่ากระบวนการขายจะเสร็จในปี 59
นอกจากนี้ ยังเตรียมขายโรงงานที่เป็นคลังสินค้าให้เช่าในนิคมอุตสาหกรรมบางปู ซึ่งปัจจุบันปล่อยเช่า มีอัตราการเช่า 60-70% รายได้ปีละ 20 ล้านบาท ราคาประเมิน 300 ล้านบาท พื้นที่ 23 ไร่เศษ ซึ่งประกอบด้วย 10 คลังสินค้าขนาดใหญ่
รวมถึงบริษัทอยู่ระหว่างขายสินทรัพย์ห้องชุดในคอนโดมิเนียม 2 โครงการ คือ บางนาคันทรี่ จำนวน 19 ห้อง รวมมูลค่าราว 40 ล้านบาท และที่เป็นห้องชุดสำนักงานจำนวน 2 ห้อง ที่ พี.เอส.ทาวเวอร์ อโศก รวมมูลค่าราว 20 ล้านบาท ปัจจุบันห้องชุดอาคารสำนักงานสามารถขายได้แล้ว 1 ห้องจะโอนในเดือนมี.ค.59
"สินทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์นี้คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้ขายแล้ว จะพยายามจะให้การขายจบภายในปี 59 ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้คาดว่าจะมีบันทึกเป็นกำไรพิเศษเข้ามาราว 50-60 ล้านบาทในปี 59"นายยุทธนา กล่าว
ขณะที่บริษัทไม่มีภาระหนี้ ทำให้ยังมีศักยภาพในการกู้สถาบันการเงินได้ อีกทั้งบริษัทมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทลูกดำเนินการอยู่ และบริษัทได้เข้าร่วมลงทุนกับ บมจ.สวนอุตสาหกรรม วินโคสท์ (WIN) ในเฟสแรก ทำโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนหลังคา(โซลาร์รูฟ) ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่ง COD ไปแล้ว จะมีกำไรปีละ 8 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้น 50% คิดเป็นกำไรราวปีละ 4 ล้านบาท ส่วนเฟสที่ 2 อีก 0.5 MW ได้ลงนามสัญญาบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น(MOU)แล้ว คาดก่อสร้างปี 59 โดยบริษัทถือหุ้น 51%
ส่วนธุรกิจเดิมคือเทรดดิ้งพัดลมนั้นก็ยังคงเดินหน้าต่อไปตามปกติ โดยวันที่ 11 พ.ย.58 จะเปิดโชว์รูมใกล้ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ คาดว่าจะทำยอดขายในปี 59 ราว 200 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) 10-15% ผ่านช่องทางการจำหน่าย 3 ช่องทางหลัก คือ ดีลเลอร์ โมเดิร์นเทรด ซึ่งวางจำหน่ายทั้งโฮมโปร โฮมเวิร์ค บิ๊กซี สยามโกลบอลเฮาส์ และช่องทางที่ 3 การขายให้โครงการโดยตรง ขณะนี้มีสินค้าเข้ามาพร้อมแล้ว
ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้ของบริษัทในปี 59 จะมาจาก 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจเทรดดิ้งพัดลม พลังงานทางเลือก และอสังหาริมทรัพย์
นายยุทธนา กล่าวว่า โดยปี 59 คาดว่าผลประกอบการพลิกเป็นกำไรสุทธิแน่นอน เพราะไตรมาส 1/59 (หลังเปลี่ยนงบการเงินตามปีปฏิทิน)จากผลประกอบการงวดปี 58 (สิ้นสุดก.ค.58) ขาดทุนสุทธิ 137.85 ล้านบาท เนื่องจากได้บันทึกด้อยค่าในหลายๆส่วนไปหมดแล้ว ขณะที่จะเริ่มมีกำไรจากธุรกิจเทรดดิ้งพัดลม ธุรกิจไฟฟ้าจากการร่วมทุนกับ WIN ที่จะมีกำไรเข้ามาในปี 59 ราว 4 ล้านบาท ซึ่งปี 59 จะรับรู้เต็มปี
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับพาร์ทเนอร์ โดย CEI ถือ 75% พาร์ทเนอร์ถือ 25% ภายใต้บริษัทร่วมทุน แลนด์มาร์ค จำกัด ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โครงการแรกเปิดแล้วที่สัตหีบ เป็นคอนโดมิเนียมมูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท จำนวน 30-40 ห้อง คาดเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 3/59 ปัจจุบันขายได้แล้ว 60-70%
ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดราว 100 ล้านบาท