นอกจากนี้ บริษัทฯยังเตรียมขยายธุรกิจในด้านการจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะเข้ามาช่วยขยายฐานรายได้ของบริษัทฯให้มีความเข้มเข็งมากขึ้น
“ถ้าหากปีหน้าไม่มีวิกฤตอะไรเกิดขึ้นอีก รายได้เราคงจะเติบโตได้ค่อนข้างมาก เพราะเรามีธุรกิจใหม่เข้ามาเสริม คือ คลีนิกเวชกรรมเฉพาะทางด้านไตเทียม เราจะมีรายได้จากการให้บริการการให้บริการอื่นๆ ประกอบด้วย อาทิ ศูนย์อาหาร นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือการแพทย์ และธุรกิจเดิมๆเราก็ยังมีการเติบโตตามการขยายสาขาของร้านค้าปลีกต่างๆ และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่เปิดตัวในปีนี้ ซึ่งจะเริ่มมียอดขายเข้ามามากๆปีหน้า"นายวิจิตร กล่าว
ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทยอมรับว่ากำไรสุทธิจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรราว 12 ล้านบาท ขณะที่บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะมากกว่าปีก่อนที่ 383.27 ล้านบาท ถึงแม้ว่าอาจจะเติบโตไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 18-20% เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่อยอดขายช่วงครึ่งปีแรก และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ชะลอกำหนดเปิดให้บริการมาเป็นช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น งานต่างๆที่ล่าช้าในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้นจะทยอยรับรู้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังบ้างแต่จะไม่มากนัก และส่วนหนึ่งจะทยอยไปรับรู้ช่วงไตรมาส 1-2/59
“ก่อนหน้านี้เราคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้ยังไงก็มากกว่าปีก่อน และรายได้คงจะเติบโตได้ถึง 18-20% แต่พอมาถึงช่วงไตรมาส 3/58 งานต่างๆก็ยังไม่ได้มาตามที่คิดเท่าไหร่ ซึ่งจะมีงานส่วนหนึ่งที่ต้องไปรับรู้รายได้ในช่วงต้นปี 59 เลย ทำให้กำไรที่เข้ามาวิ่งไม่ทันกับรายได้"นายวิจิตร กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 3 รายการจะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดในช่วงปลายปีนี้ คือ เครื่องบำบัดน้ำบริสุทธิ์ชนิดพิเศษเกรดพรีเมี่ยม บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ 300 เครื่องในปีนี้ รวมถึงเครื่องทำน้ำแข็ง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยบริษัทฯจะเข้าร่วมงานบ้านและสวนแฟร์ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายในช่วงปลายปีนี้
นายวิจิตร ยังกล่าวถึงการที่นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 10.10% นั้น ซึ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงที่บริษัทเรียกเพิ่มทุน โดยนายสุรพงษ์เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย และมองเห็นถึงอนาคตของธุรกิจว่าจะมีการเติบโต จึงมีความมั่นใจในการเข้ามาถือหุ้นเพิ่ม “ผมยืนยันว่าจะไม่มีการขายบริษัทฯ และตอนนี่เองก็ยังไม่ได้มีดีลควบรวมกินการ หรืออะไรเกิดขึ้น การที่เค้าเข้ามาถือหุ้นเพิ่ม ก็เป็นเพราะเห็นการขยายตัวที่ดีในอนาคต และเค้าก็เป็นเพื่อนผมสมัยที่เรียนมหาลัยแล้ว เค้าก็เลยเข้ามาถือหุ้นเพิ่ม และผมไม่ได้กังวลอะไร เพราะผมถือหุ้นอยู่ถึงกว่า 20%"นายวิจิตร กล่าว