"เราวางเป้าหมายในการมีโรงไฟฟ้าทั้งหมดไม่น้อยกว่า 100 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปี โดยเราเปิดกว้างในการลงทุนในโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนหลายรูปแบบ เช่น พลังงานจากชีวมวล ขยะ และแสงอาทิตย์ เป็นต้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ได้ COD ไปแล้วจะได้รับการศึกษาเป็นพิเศษ ซึ่งการลงทุนในพลังงานทดแทนจะเป็นการเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ รวมถึงกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่น ๆ อีกด้วย เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของบริษัท"นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวว่า พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี่ ซึ่งเป็นบริษัทลูกในการดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนอย่างเต็มรูปแบบ ได้ลงนาม MOU กับโรงไฟฟ้าจำนวน 3 แห่ง แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 2 โรงตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกำลังการผลิตสูงสุดโรงละ 9.9 เมกะวัตต์ โดยใช้วัตถุดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเปลือกไม้ และเศษไม้ ซึ่งในปัจจุบันโรงไฟฟ้าทั้ง 2 โรงได้ดำเนินการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแล้ว ทำให้สามารถรับรู้รายได้ทันที โดยบริษัทคาดว่าจะถือสัดส่วนในการเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้ง 2 โรงมากกว่า 70%
ขณะที่โรงไฟฟ้าอีกหนึ่งแห่งนั้นเป็นโรงไฟฟ้าขยะ ตั้งอยู่ในภาคใต้ กำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 5 เมกะวัตต์ โดยบริษัทคาดว่าจะถือสัดส่วนในการเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าดังกล่าวมากกว่า 50% ซึ่งคาดว่าทั้ง 3 โครงการจะสามารถได้ข้อสรุปทั้งหมดภายในปีนี้