โดย DJSI เป็นดัชนีหลักทรัพย์ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก ซึ่งกองทุนต่างๆ จากทั่วโลกใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาลงทุน ด้วยเชื่อมั่นว่าบริษัทที่อยู่ใน DJSI จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน
"เอสซีจีดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรามั่นใจว่ามาถูกทางและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ด้วยการสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตไปด้วยกัน ซึ่งความสำเร็จนี้มาจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทของพนักงานที่นำแนวคิด SD มาเป็นกรอบแนวทางการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ"นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า จากนี้ไปบทบาทของเอสซีจีจะมุ่งเน้นการขยายเครือข่ายโดยสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ นำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เริ่มจากองค์กรหรือหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเอสซีจี ทั้งในส่วนต้นน้ำ คือ คู่ธุรกิจ (Suppliers and Contractors) ไปจนถึงปลายน้ำ คือ ลูกค้าและคู่ค้า โดยให้คำแนะนำและช่วยเหลือเพื่อยกระดับการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สำหรับองค์กรอื่นๆ เอสซีจีมุ่งให้ความรู้และส่งเสริมให้องค์กรต่างๆ ดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างจริงจัง เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายสังคมที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาค ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่บนหลักอุดมการณ์ 4 และให้ความสำคัญกับบุคลากรซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงสุด โดยเอสซีจีได้ยึดถือมาตลอดระยะเวลากว่า 100 ปีที่ดำเนินธุรกิจ
ด้านนายชลณัฐ ญาณารณพ ประธานคณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้เอสซีจีรักษาความเป็นผู้นำในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ไว้ได้ คือ การดำเนินธุรกิจที่มุ่งสร้างประโยชน์สูงสุดต่อผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่มีการดำเนินงานจัดการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้านสังคมที่มีความทุ่มเทและมุ่งสร้างคุณค่าให้กับสังคมและชุมชนรอบโรงงานได้อย่างยั่งยืน และด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีแนวทางการดำเนินงานด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
โครงการเด่นเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เอสซีจีทำและเห็นผลเป็นรูปธรรมในปีที่ผ่านมา เช่น การเปิดศูนย์ฝึกปฏิบัติ โรงเรียนทักษะพิพัฒน์ เพื่อสร้างพนักงานขับรถขนส่งคุณภาพ ด้วยการฝึกอบรมเพิ่มทักษะความรู้และความชำนาญในวิชาชีพอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงสร้างจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งจะนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างยั่งยืน ถือเป็นการดูแลทั้งสวัสดิภาพพนักงานและคู่ธุรกิจเอสซีจี และยกระดับมาตรฐานการขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังขยายผลโครงการนี้ไปสู่อาเซียน ด้วยการส่งทีมครูฝึกไปอบรมให้แก่พนักงานขับรถในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โรงงานน้ำตาลมิตรลาว ประเทศลาว โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ บริษัท กัมปอตซิเมนต์ จำกัด ประเทศกัมพูชา เพื่อส่งเสริมและยกระดับให้แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน สามารถหยั่งรากลึกลงในสังคมอาเซียนได้อย่างแท้จริง
เอสซีจียังได้เร่งพัฒนาบุคลากรที่จะเป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการที่สามารถเข้าใจและนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงสามารถพัฒนาและต่อยอดการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆต่อไปได้อีก นอกจากนี้ เอสซีจียังส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอด Green Technology บนค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เพื่อนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงสามารถพัฒนาต่อยอดได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ เอสซีจียังคิดค้นผลิตภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอีกด้วย เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่สะอาด ปลอดภัย ย่อยสลายได้รวดเร็ว และมีกระบวนการผลิตที่รักษ์โลก ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทั้งในแง่ของประโยชน์ใช้สอย และในแง่ของคุณค่าและความภูมิใจที่ได้ใช้สินค้าที่ผลิตโดยนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม
อนึ่ง เอสซีจี ในฐานะองค์กรต้นแบบที่มุ่งผลักดันการสร้างเครือข่ายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอาเซียนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะจัดงาน SCG Innovative Exposition 2015 นำเสนอนวัตกรรมที่สร้างสรรค์บนพื้นฐานของความใส่ใจ ในแนวคิด Innovation that Cares “นวัตกรรมใส่ใจและสร้างสรรค์ เพื่อทุกวันที่ยั่งยืน" ตั้งแต่วันที่ 1-30 พฤศจิกายน 58 ณ เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ (เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา)