บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ฯคาดว่า บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC)บริษัทจะรายงานผลประกอบการ 3Q58 เท่ากับ 1.4 พันล้านบาท หดตัว 84%QoQ ได้รับแรงกดดันจากขาดทุนสต็อคน้ำมันที่ระดับ 2.4 พันล้านบาท และขาดทุนอัตราแลกเปลียนราว 2.3 พันล้านบาท โดยไตรมาสนี้มีประเด็นหลักจากประเมินธุรกิจธุรกิจโอเลฟินส์ อ่อนตัว QoQ จากผลของราคา HDPE ซึ่งหดตัวลง 10% QoQ และค่าการกลั่นของหอกลั่น (CDU) หดตัว 29% QoQ โดยเป็นผลจากส่วนต่างน้ำมันสำเร็จรูป-ดูไบ ที่ปรับตัวลดลง รวมถึงการใช้อัตราการผลิตของธุรกิจอะโรเมติกส์เท่ากับ 57% ผลจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงอะโรเมติส์แห่งที่ 2 ซึ่งเริ่มหยุดซ่อมบำรุงในช่วงปลายเดือน ก.ค.
พร้อมปรับลดประมาณการกำไรปี 58 ลดลงราว 21% มาสู่ระดับ 2.4 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ระดับ 3.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจัยหลักมาจากผลขาดทุนสต็อคน้ำมันและขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนในงวด 3Q58 สำหรับมุมมองต่อ 4Q58 โดยคาดหวังการฟื้นตัวของธุรกิจอะโรเมติกส์จากกำลังผลิตที่กลับมา และคาดว่าผลประกอบการจะไม่ถูกกดดันจากรายการขาดทุนสต็อคน้ำมันมาเท่า 3Q58 จากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบสามารถทรงตัวอยู่ในระดับ 43-46 เหรียญ/บาร์เรล
แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย ที่ 72.25 บาท มองผลประกอบการมีแนวโน้มจะเป็นจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 เราจึงมองเป็นโอกาสสะสมเพื่อลงทุนระยะยาว สำหรับระยะสั้น คาดหวังผลประกอบการที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 4 และความคืบหน้าของการลงทุนในคลัสเตอร์ไบโอพลาสติก ซึ่งภาครัฐให้การสนับสนุนจะเป็นปัจจัยหนุน
อีกทั้งผู้บริหารเปิดเผยว่าบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการลงทุนหลัก 3 โครงการ ประกอบด้วย 1) โครงการลงทุนเพื่อเพิ่มผลผลิตที่มาบตาพุด(มูลค่าลงทุนประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) 2) โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐ (มูลค่าลงทุนเบื้องต้น 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ) 3) โครงการ PO/Polyols (มูลค่าการลงทุนเบื้องต้น 1 พันล้านเหรียญ) ซึ่งบริษัทมีกำหนดการตัดสินใจครั้งสุดท้ายในปี 59 ทุกโครงการ
โดยมีความกังวลต่อโครงการลงทุนที่สหรัฐสำหรับประเด็นด้านการทำตลาดเม็ดพลาสติกในประเทศสหรัฐ อย่างไรก็ดี ผู้บริหารได้เปิดเผยว่าบริษัทอยู่ระหว่างการหาบริษัทร่วมทุนที่มีศักยภาพในการเจาะเข้าไปในตลาดเม็ดพลาสติกของสหรัฐ