บวกกับแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่จะไหลเข้าในตลาดหุ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี และจะเป็นตัวช่วยพยุงตลาดไม่ให้มีการปรับฐานได้รุนแรงมากนัก รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2558 จะมีการสื่อสารด้วยถ้อยคำที่ผ่อนคลายต่อไป (Dovish)
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยกดดันที่อาจเกิดขึ้น โดยให้ติดตามการประกาศตัวเลขภาคการผลิตทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน หากออกมาต่ำกว่าระดับ 50.0 อาจส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ขณะเดียวกันสถานการณ์การปรับลดประมาณกำไรของบริษัทจดทะเบียน ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องซึ่งจะทำให้มูลค่า (Valuation) ของดัชนีแพงขึ้นโดยปริยาย นอกจากนั้นการไหลของเม็ดเงินลงทุน (Fund flow) ในตลาดหุ้นเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงอีกครั้ง หลังค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนในตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือน พ.ย.แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 20 บริษัท ได้แก่ IRPC, IFEC, BLA, TCAP, KKC, PTTGC, BRR, WHA, SUPER, QH, SCB, CEN, PTT, EVER, FORTH, SCN, DTAC, S11, DELTA, GFPT