นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ดัชนีน่าจะย่อตัวลงมาก่อนดีดตัวขึ้น มาจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ส่งสัญญาณที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์น่าจะปรับตัวแข็งค่า กดดันสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งมองว่าดัชนีน่าจะย่อตัวลงมาก่อน ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียเช้านี้แกว่งตัวสลับบวกลบ
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในวันที่ 6 พ.ย. และปัจจัยในประเทศที่จะมีการประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติรถไฟทางคู่ในระยะต่อไป
พร้อมให้แนวรับ 1,412 จุด ส่วนแนวต้าน 1,429-1,438 จุด
ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด(4 พ.ย.58)ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,867.58 จุด ลดลง 50.57 จุด(-0.28%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,142.48 จุด ลดลง 2.65 จุด(-0.05%),ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,102.31 จุด ลดลง 7.48 จุด(-0.35%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 102.53 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.42 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 8.47 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 1.71 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.47 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 11.04 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.19 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(4 พ.ย.58)1,423.42 จุด เพิ่มขึ้น 10.80 จุด(+0.76%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 92.20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 พ.ย.58
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(4 พ.ย.58) ปิดที่ 46.32 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.58 ดอลลาร์ หรือ 3.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(4 พ.ย.58)ที่ 7.35 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.54/55 กลับมาอ่อนค่าหลังวานนี้ลงแรง คาดกรอบวันนี้ 35.50-35.60
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 6 พ.ย.นี้ จะประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี เพื่อประเมินสถานการณ์และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันในช่วงปีครึ่งจากนี้ไปในช่วงที่รัฐบาลนี้ยังอยู่ หากไม่ปรับตัวไทยจะต้องเผชิญการส่งออกติดลบลงเรื่อยๆ กำลังซื้อก็ถดถอย
- นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยปี 2558 โดยเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี(เทียร์ 2-3)ได้โดนควบรวมกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างชาติที่มาลงทุนในไทย หรือปรับตัวไปทำธุรกิจอื่นถึง 500 ราย จาก 1,700 ราย หายไปเหลือ 1,200 ราย
- พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)มีมติให้คงราคาก๊าซหุงต้ม(LPG)เดือน พ.ย.58 ไว้ที่ 22.29 บาท/กก.แม้ราคา แอลพีจีตลาดโลกจะปรับเพิ่มขึ้นก็ตามเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน และให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปชดเชยในอัตรา 0.6130 บาท/กก.จากเดิมที่จัดเก็บ 0.0827 บาท/กก. ซึ่งจะทำให้กองทุนมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น จากเดิมเดือนละ 54 ล้านบาทเป็นเดือนละ 305 ล้านบาท
- ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)เปิดเผยว่า ได้ส่งรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)เพิ่มเติมในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูนราษฎร์บูรณะ ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.)พิจารณาแล้ว แต่ผลจากแนวเส้นทางเลี่ยงชุมชนระยะทาง 5 กม. ทำให้วงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติในต้นปีหน้า
- ตัวแทนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทีโอที เข้ายื่นฟ้องศาลปกครองกลางเพื่อฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เลขาธิการ กสทช.ตลอดจนกรรมการทุกคนรวมถึงอดีตคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)ชุดก่อนที่จะมี กสทช.เพื่อขอให้ศาลพิจารณาชี้ขาดว่าสิทธิในการใช้คลื่นความถี่ 900 MHz ของทีโอทีสิ้นสุดลงเมื่อใด
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC SCB) ประเมินคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ในการประชุมวานนี้ จากมุมมองเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นกว่าการประชุมครั้งก่อน โดยครั้งนี้ กนง. กล่าวว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยการใช้จ่ายในประเทศปรับดีขึ้นเล็กน้อยตามการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทน และการลงทุนของบางสาขาธุรกิจ ซึ่งแตกต่าง จากการประชุมวันที่ 16 กันยายนที่ กนง. แสดงความกังวลด้านรายได้ครัวเรือนและความเชื่อมั่นภาคเอกชน
*หุ้นเด่นวันนี้
- AOT(โกลเบล็ก)เป้า Consensus เฉลี่ย 344 บาท คาดรายได้และกำไรเติบโตขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยสสท.คาดนักท่องเที่ยปี 2558 +13% เป็น 28 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน และโครงการสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 โดยผ่าน EIA แล้วคาดเปิดประมูลได้ภายในปี 59 ช่วยหนุนต่อรายได้และกำไรในอนาคตเนื่องจากจะรองรับผู้โดยสารได้ 85 ล้านคน/ปี ทั้งนี้ เดือนส.ค. ผู้ใช้สนามบินโตขึ้นราว 25%, ยอดผู้โดยสาร 10 เดือนแรกกว่า 89 ล้านคน
- CK(ยูโอบี เคย์เฮียน) Mega projects เช่นรางคู่และการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มจะช่วย earnings ให้เติบโตสูง 15% ในปีหน้า, การควบรวมกิจการของบริษัทลูก BMCL & BECL น่าจะอนุมัติเดือน พ.ย.นี้, นอกจาก projects ของรัฐบาลยังมีโครงการลูก บริษัทลูก เช่น CKP มีโครงการน้ำบาก (Hydroelectric dam) ในประเทศลาว 1 หมื่น 7 พันล้านบาท กำลังเจรจาน่าจะเซ็นสัญญา Q1 ปีหน้า อีกทั้ง Q3 & Q4 sale & earnings ไม่ค่อยดี โครงการ mega projects ประมูลชนะปีนี้เริ่มทำปีหน้า ช่วงนี้เป็นโอกาสดีในการเริ่มเก็บสะสม CK โดยราคาปัจจุบันให้ upside สูงกว่าคู่แข่งทั้ง ITD และ STEC
- HMPRO(ทรีนีตี้)"ซื้อ"เป้า 8.80 บาท เข้าสู่ฤดูกาลใช้สอยช่วงท้ายปี คาดเมกาโฮมกำไรเต็มปี 2559
- TCAP (ทรีนีตี้)เป้าปี 59 ที่ 43 บาท อิง PBV 1 เท่า มองแนวโน้มการเติบโตของกำไร และการเพิ่มขึ้นของ NPL Coverage Ratio มีทิศทางที่สดใสมากกว่ากลุ่มฯ
- CENTEL(ซีไอเอ็มบี)"ซื้อ"เป้า 43 บาท คาดไตรมาส 3/58 กำไรกว่า 250 ล้านบาท(มากกว่าที่เราประเมินไว้เบื้องต้นที่ 192 ล้านบาท)เติบโต 49% yoy เป็นผลจากธุรกิจโรงแรมโตได้ดีจากทั้งอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก ขณะที่ธุรกิจอาหารทรงตัว ปัจจัยหนุนระยะสั้นยังมาจากหากซื้อสาขา KFC 120-150 แห่งจาก Yum สำเร็จ เชื่อบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 3 พันล้านบาทในปี FY16 (+13% จากประมาณการในปัจจุบันที่ 2.24 หมื่นล้านบาท) กำไรสุทธิจะเพิ่ม 14% เป็น 2.4 พันล้านบาท (1.79 บาท/หุ้น) จากปัจจุบันที่คาดไว้ 2.12 พันล้านบาท (1.57 บาท/หุ้น)