"เชฟรอนมีประสบการณ์การดำเนินงานธุรกิจโรงกลั่น ทั้งด้านความรู้เทคโนโลยีและวิธีการปฏิบัติงาน โรงกลั่น SPRC ก็สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเชฟรอนมา apply ที่โรงกลั่นของเราได้ เชฟรอนเป็นบริษัทน้ำมันนานาชาติ มีเครือข่ายการจัดหาน้ำมันอยู่ทั่วโลก SPRC เวลาต้องการซื้อน้ำมันก็ใช้เครือข่ายของเชฟรอนช่วยซื้อให้ โดยที่เราจะเป็นคนกำหนดประเภท ปริมาณ ราคาและเชฟรอนเป็นคนจัดหา"นายวิชัย กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์ในวันนี้
นายวิชัย กล่าวว่า บริษัทเคยผ่านประสบการณ์วิกฤตในช่วงปี 51 มาแล้วเช่นกันที่ราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งปีแรกพุ่งขึ้นสูงสุด ก่อนจะลดลงอย่างรุนแรงในช่วงครึ่งปีหลัง แต่บริษัทก็สามารถผ่านวิกฤตดังกล่าวมาได้จนถึงปัจจุบัน ขณะที่การปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมา บริษัทก็จะนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเข้ามาชดเชยได้ โดยการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งใหญ่จะมีขึ้นทุกๆ 5 ปี ซึ่งในครั้งต่อไปจะปิดในช่วงปี 62
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 55 และปี 56 นับว่ามีกำไรสุทธิอยู่ในระดับที่สูงเป็นที่น่าพอใจ ยกเว้นในปีที่ผ่านมา ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี โดยโรงกลั่นน้ำมันทั่วโลกได้รับผลกระทบในทิศทางเดียวกันหมด แต่ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ค่าการกลั่นของ SPRC อยู่ที่ระดับ 11.84 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล นับว่าเป็นระดับค่าการกลั่นที่สูงมาก เกิดจากปัจจัยภายในที่มีโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพดีและมีอัตราการกลั่นในระดับสูงตลอดเวลา รวมถึงปัจจัยภายนอกยังเอื้อต่อสภาพของธุรกิจด้วย
ปัจจุบัน SPRC มีกลุ่มเชฟรอน ถือหุ้น 64% และบมจ.ปตท.(PTT) ถือหุ้น 36% โดยมีกำลังการกลั่น 1.65 แสนบาร์เรล/วัน โดยผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ น้ำมันเบนซิน ซึ่งสามารถผลิตได้ในปริมาณเทียบเท่า 1 ใน 3 ของความต้องการใช้ในประเทศ ,น้ำมันดีเซล ,น้ำมันอากาศยาน ,น้ำมันเตา ,ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) รวมถึงสารตั้งต้นในการผลิตปิโตรเคมีอื่นๆด้วย โดยมีลูกค้ารายใหญ่ คือ กลุ่มเชฟรอน และ PTT
เมื่อเดือนก.ค. SPRC ได้ยื่นแบบเสนอขายหุ้น IPO จำนวน ไม่เกิน 1,918,201,047 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 6.92 บาท/หุ้น มีวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อชำระคืนภาระทางการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยเป็นการขายหุ้นเพิมทุน 441,138,678 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ PTT จำนวนไม่เกิน 1,477,062,369 หุ้น หลังการขายหุ้น IPO ครั้งนี้ PTT จะลดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 0% ขณะที่กลุ่มเชฟรอน จะลดลงเหลือราว 55% บริษัทจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์, บล.ฟินันซ่า, บล.ภัทร และบล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
อนึ่ง ในปี 57 บริษัทมีรายได้รวม 7.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ ผลขาดทุนสุทธิ 194.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขาดทุนต่อหุ้น 0.05 เหรียญสหรัฐ จากปี 56 มีรายได้ 8.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ กำไร 128.6 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรต่อหุ้น 0.03 เหรียญสหรัฐ