สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจของยุโรป ยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรป นอกจากนี้ ล่าสุดธนาคารกลางยุโรปได้ออกมาแถลงถึงการเตรียมพิจารณาปรับเพิ่มเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการออกไป ทำให้นักลงทุนต่างคาดหวังต่อการออกมาตรการเพิ่มเติมดังกล่าว และช่วยหนุนสภาพคล่องรวมถึงบรรยากาศการลงทุนให้ดีขึ้น
ประกอบกับค่าเงินยูโรที่มีทิศทางอ่อนค่า จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนด้านผลประกอบการโดยเฉพาะบริษัทผู้ทำธุรกิจด้านส่งออก อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่อาจส่งผลต่อการส่งออกเนื่องจากปัจจุปันยุโรปมีสัดส่วนธุรกิจกับจีนค่อนข้างมาก รวมถึงต้องติดตามตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนของยุโรปในไตรมาส 3 ที่จะออกมาเพิ่มเติมด้วย
โดยตลาดหุ้นยุโรปตั้งแต่ต้นปีปรับตัวขึ้นมาประมาณ 11% แต่กองทุนหลักของกองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) กลับมีผลการดำเนินงานสูงถึง 18% แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพและมีอัตราการเติบโตที่ดี
นายนาวิน ยังกล่าวถึงมุมมองเศรษฐกิจของสหรัฐฯ พบว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาส่วนใหญ่แสดงถึงการฟื้นตัวต่อเนื่อง อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นการสร้างบ้านในสหรัฐที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี รวมถึงตัวเลขการจ้างงานและค่าจ้างในตลาดแรงงานสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น ทำให้ล่าสุดประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มส่งสัญญาณว่าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงขยายตัวและช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ก็มีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของจังหวะเวลาในการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ยังทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกยังมีความผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา เกิดแรงเทขายอย่างหนักโดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จากความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลลุกลามไปทั่วโลก แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาถึง 12% หลังจากความกังวลดังกล่าวได้เริ่มผ่อนคลายลง ประกอบกับตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯที่ออกมาดีกว่าที่คาด
ภาพรวมตั้งแต่ต้นปีถึง 31 ตุลาคม 2558 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพียง 0.99% ในขณะที่กองทุนหลักของกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) กลับมีผลการดำเนินงานที่สามารถเอาชนะตลาดได้ถึงเกือบ 11% เนื่องจากความสามารถในการคัดเลือกหุ้นที่เหมาะสมของผู้จัดการกองทุน อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของบลจ.กสิกรไทย มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯปัจจุบันมีมูลค่าการซื้อขายและราคาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงแล้ว ผู้ลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังหากต้องการเข้าลงทุนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มีกำหนดจะจ่ายเงินปันผลของ K-EUROPE และ K-USA โดย K-USA จะจ่ายปันผลในอัตรา 0.20 บาท/หน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2558 - 31 ตุลาคม 2558 และ K-EUROPE ในอัตรา 0.20 บาท/หน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2558 - 31 ตุลาคม 2558 โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 413.92 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนที่มีการจ่ายปันผลในครั้งนี้ ทั้ง 2 กองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลังที่สามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้ โดยกองทุน K-USA มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 4.76% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 2.01% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 15.54% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 6.21% และกองทุน K-EUROPE มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 0.81% เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ -0.55% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 19.42% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 17.08%