ล่าสุด ECB ได้มีการส่งสัญญาณในการประชุมเมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า อาจมีการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมในเดือน ธ.ค. นี้ เราคาดว่า ECB น่าจะประกาศขยายเวลา QE ไปอีก 6 เดือน จากแผนปัจจุบันที่กำหนดไว้ว่าจะสิ้นสุดในเดือน ก.ย. 2016 ไปเป็นเดือน มี.ค. 2017
"ความคาดหวังต่อการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมของทั้ง BoJและ ECB จะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นในไตรมาส 4 นี้ ซึ่งหมายความว่าหากตัวเลขเศรษฐกิจยังคงชะลอต่อจากนี้ ตลาดก็จะเริ่มเก็งกำไรจากการผ่อนคลายนโยบาย และทำให้ตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็ได้ผ่านพ้นช่วงแห่งความผันผวนจากปัจจัยวิกฤตหนี้กรีซไปแล้ว"นายคมศร กล่าว
ในภาพรวมเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนต่อความเสี่ยงในการชะลอตัวอย่างรุนแรง (Hard Landing) อันเป็นสาเหตุของการปรับฐานของตลาดหุ้นจีนในรอบที่ผ่านมา โดยในสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลจีนเห็นชอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี (2016-2020) ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาความเป็นเมือง (Urbanization),การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้หันมาพึ่งพิงภาคการบริโภคแทนการลงทุน และการตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้าอยู่ในช่วงไม่ต่ำกว่า 6.5%
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ยกเลิกนโยบายการมีบุตรคนเดียว โดยอนุญาตให้คู่สมรสมีบุตรได้ 2คน แต่ยังไม่ได้ระบุกำหนดเวลาหรือรายละเอียด แต่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีนโยบายหรือประกาศเพิ่มเติม การยกเลิกนโยบายการมีบุตรคนเดียวมีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีนั้น สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลจีนที่ต้องการให้เศรษฐกิจจีนหันมาพึ่งพาการบริโภคในประเทศ ซึ่งเป็นผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและจะช่วยยกระดับ Valuation ได้ในระยะยาว
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (ESU) แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) ในตลาดหุ้นยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ที่มีสัญญาณบวกจากความคาดหวังต่อการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมของทั้ง BoJ และECB รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน