ทริสยืนยันอันดับเครดิตองค์กร ASK ที่ "BBB+" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 9, 2015 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้ง ยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บบมจ. เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์และความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทในระดับปานกลาง นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่สนับสนุนอันดับเครดิตยังประกอบด้วยสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ในตลาดเฉพาะกลุ่มของรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ตลอดจนการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลการดำเนินงานและสถานะทางธุรกิจที่มีเสถียรภาพของบริษัทแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงและคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อของบริษัทที่มุ่งเน้นไปที่สินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดในตลาดเฉพาะกลุ่มสำหรับยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ต่อไปได้ การมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถ ตลอดจนระบบการบริหารความเสี่ยงและระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ดี โดยคาดว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่น่าจะยังคงให้การสนับสนุนบริษัทต่อไป

อันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับขึ้นได้หากบริษัทสามารถปรับปรุงสถานะทางการตลาด รวมถึงผลการดำเนินงาน และคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทให้ดีขึ้น ในทางกลับกัน อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการตลาดหรือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงจนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะทางการเงินของบริษัท

ASK ถือเป็นบริษัทลูกในกลุ่ม Chailease ประเทศไต้หวันซึ่งถือหุ้นของบริษัทผ่านบริษัทลูก 2 แห่ง คือ Chailease Finance (Taiwan) (36.61%) และ Chailease International (Malaysia) (11.57%) งบการเงินของบริษัทถูกรวมเข้ากับงบการเงินของบริษัทแม่คือ Chalease Holding (Taiwan) เนื่องจาก Chalease Holding มีอำนาจควบคุมเหนือบริษัท นอกจากนี้ กลุ่ม Chailease ยังส่งตัวแทนจำนวน 5 คนให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการของบริษัท รวมถึงยังสนับสนุนด้านสภาพคล่องให้แก่บริษัทในยามจำเป็นด้วย ในปี 2557 สินทรัพย์ของบริษัทคิดเป็น 5.8% ของกลุ่ม ขณะที่กำไรของบริษัทคิดเป็น 4.2% ของกลุ่ม

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 ในจำนวนสินเชื่อรวมของบริษัทนั้น 85% เป็นสินเชื่อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยซึ่งดำเนินการโดยบริษัทโดยตรง สัดส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2557 ที่ระดับ 85.3% ในขณะที่สัดส่วนสินเชื่อลีสซิ่งและแฟคตอริ่งของบริษัทในเครือที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมดคือ บริษัท กรุงเทพแกรนด์แปซิฟิคลีส จำกัด (มหาชน) อยู่ที่ระดับ 11.1% และ 3.6% ตามลำดับ สินเชื่อรวมของบริษัทในปี 2553-2556 ขยายตัวมากกว่า 10% ทุกปี อย่างไรก็ดี การชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลให้สินเชื่อรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเพียง 4.1% ในปี 2557 และ 1.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 จากสิ้นปี 2557

ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของฐานลูกค้าโดยรวมของบริษัทอยู่ในระดับต่ำอันเนื่องมาจากลักษณะของสินเชื่อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อย นอกจากนี้ การกระจายตัวของส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในด้านผลิตภัณฑ์ของสินเชื่อได้ด้วย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 สินเชื่อรถยนต์สำหรับลูกค้ารายย่อยคงค้างประกอบด้วยรถบรรทุก 41.5% รถยนต์นั่งและรถกระบะ 26.6% รถตู้ 18.8% รถแท็กซี่ 8.9% และอื่น ๆ อีก 4.2% โดยทั่วไปแล้ว แม้ว่าสินเชื่อสำหรับยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ เช่น รถบรรทุก รถตู้ และรถแท็กซี่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ส่วนผสมของสินเชื่อที่มีสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงที่สูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อื่น ๆ ที่เน้นการให้สินเชื่อสำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะ ดังนั้น เพื่อลดทอนความเสี่ยงที่สูงกว่า บริษัทจึงใช้กลยุทธ์ในการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อเน้นสินเชื่อเฉพาะผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงน้อยเพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม

ในอดีต อัตราส่วนของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระมากกว่า 3 งวด) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่น ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถ ตลอดจนมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และมีนโยบายการอนุมัติสินเชื่อแบบระมัดระวัง อย่างไรก็ดี อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.8% ในปี 2555 เป็น 1.7% ณ สิ้นปี 2557 เศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบันเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558

บริษัทมีกำไรดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2555 และ 2556 โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 49.1% เป็น 495 ล้านบาทในปี 2555 และเพิ่มขึ้นถึง 29.5% เป็น 641 ล้านบาทในปี 2556 ในปี 2557 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บริษัทต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญจำนวน 242 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทยังสามารถควบคุมต้นทุนเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำจากการเลือกใช้เงินกู้ระยะสั้นในการขยายพอร์ต์สินเชื่อ รวมถึงยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ ทำให้ในปี 2557 บริษัทยังคงมีกำไรเติบโตขึ้นบ้างเล็กน้อย โดยมีกำไรสุทธิ 671 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 4.7% จากปีก่อน สำหรับงวดครึ่งแรกของปี 2558 บริษัทมีกำไรสุทธิ 339 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 325 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทยังคงเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์และรักษาความสามารถในการทำกำไรท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบัน

บริษัทได้รับประโยชน์ด้านแหล่งเงินทุนจากการมีสถานะเป็นบริษัทในเครือของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ดังกล่าวถูกจำกัดโดยกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการให้กู้ยืมแก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันของสถาบันการเงิน โดยกฎเกณฑ์ดังกล่าวจำกัดจำนวนเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ที่ให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องของธนาคาร ซึ่งมีผลจำกัดความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทและประโยชน์จากแหล่งเงินทุนที่มีความมั่นคงจากธนาคารกรุงเทพ

อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถกระจายแหล่งเงินทุนไปยังสถาบันการเงินอื่นและตลาดทุนซึ่งรวมถึงการออกตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้ โดยบริษัทจะเก็บวงเงินคงเหลือจากธนาคารกรุงเทพเอาไว้เป็นแหล่งเงินทุนสำรองเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการใช้แหล่งเงินกู้ระยะสั้นเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งส่งผลทำให้มีความไม่สอดคล้องกันของอายุของสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีเงินกู้ระยะสั้นและเงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดอายุไม่เกิน 1 ปีรวมกันอยู่ที่ระดับ 59.9% ของเงินกู้ยืมทั้งหมด

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงดังกล่าวของบริษัทลดทอนลงจากการมีกระแสเงินสดจากการชำระค่างวดของลูกค้าและวงเงินสำรองที่เพียงพอต่อความต้องการเงินทุนของบริษัท โดยทริสเรทติ้งหวังว่าบริษัทจะเตรียมวงเงินสำรองที่เพียงพอสำหรับชำระหนี้ตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้ระยะสั้นซึ่งมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมใหม่เพื่อชำระหนี้เก่า (Refinancing Risk)

การเพิ่มทุนในปี 2555 และ 2557 ช่วยให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเป็น 13.4% เทียบกับ 11.2% ในปี 2554


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ