ขณะที่บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/58 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 150.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 3,124% รับอานิสงส์เต็มๆ จากการขยายสินเชื่ออย่างแข็งแกร่งในกัมพูชา
นายมิทซึจิ กล่าวชี้แจงว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 3/58 นับเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ โดยแบ่งคร่าวๆ เป็นกำไรจากผลประกอบการในประเทศไทยประมาณ 70 ล้านบาท หรือใกล้เคียงกับกำไรสุทธิในไตรมาส 2/58 และอีกประมาณ 80 ล้านบาทเป็นกำไรจากผลประกอบการในต่างประเทศโดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่แซงหน้าผลประกอบการในประเทศไทย ขณะเดียวกันสำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 3 นี้ ยังเพิ่มขึ้นประมาณ 16% จากไตรมาส 2 ของปีนี้
นายมิทซึจิ กล่าวว่า ส่วนแบ่งกำไรจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากกัมพูชาจะเริ่มทิ้งห่างผลการดำเนินงานในประเทศไทยในอนาคต โดยธุรกิจในกัมพูชามีศักยภาพในการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องอีกยาวนาน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศกำลังขยายตัวอย่างเต็มที่และมีชนชั้นกลางจำนวนมากที่มีรายได้และอำนาจในการซื้อเพิ่มมากขึ้น โดยชนชั้นกลางกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้พัฒนาขึ้นมาเป็นลูกค้าโดยตรงของ GL ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจปล่อยสินเชื่อไปสู่ภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นอกเหนือจากธุรกิจเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซด์ HONDA และเครื่องจักรกลเกษตร KUBOTA ตลอดจนธุรกิจนาโนไฟแนนซ์
"การปล่อยสินเชื่อให้ SMEs นับเป็นการขยายฐานธุรกิจในกัมพูชาที่มีนัยสำคัญและจะส่งผลดีเป็นอย่างยิ่งต่อยอดรายได้และผลกำไรในอนาคต"นายมิทซึจิ กล่าว
สำหรับยอดพอร์ตสินเชื่อของ GL ในกัมพูชาขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 80 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี มีอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่ำมากเพียง 0.4% เท่านั้น โดยในขณะนี้บริษัท GL FINANCE (GLF) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ GL สามารถปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ประมาณ 2,000 คันต่อเดือนและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3,000 คันต่อเดือนในช่วงปลายปี รวมถึงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 3,000-5,000 คันต่อเดือนในปีหน้า
ด้านธุรกิจในประเทศไทยนั้นถือว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น โดยถึงแม้ว่าจะไม่มีการขยายตัวแต่คุณภาพสินทรัพย์ก็ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและการบริหารจัดการของบริษัทฯ ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งยอดพอร์ตสินเชื่อในประเทศไทยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท มีระดับ NPL ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 6.5% และคาดว่าจะปรับลดลงเหลือ 5% ภายในสิ้นปีนี้
ขณะที่หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 138.66 ล้านบาท ในไตรมาส 3/57 เหลือ 83.43 ล้านบาท ในไตรมาส 3/58 หรือลดลง 39.83% แสดงถึงคุณภาพลูกหนี้ของบริษัทแม่และบริษัทลูกที่ดีขึ้นในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้อานิสงส์อีกส่วนหนึ่งของตัวเลขกำไรที่ดีขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการขาดทุนที่ลดลงในการจำหน่ายสินทรัพย์รอการขาย (การขายจักรยานยนต์ที่ยึดมา) จาก 135.06 ล้านบาท เหลือ 91.14 ล้านบาท หรือลดลง 32.52% ในช่วงเวลาเปรียบเทียบดังกล่าว